วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วิธีทำให้ SQL Server ใช้ RAM เกิน 2GB
- เพิ่ม /PAE ใน boot.ini
- เพิ่มสิทธิ์ให้ user ที่ใช้ในการรัน SQL service ให้มี Lock Pages in Memory
To enable the lock pages in memory option
- On the Start menu, click Run. In the Open box, type gpedit.msc.
The Group Policy dialog box opens.- On the Group Policy console, expand Computer Configuration, and then expand Windows Settings.
- Expand Security Settings, and then expand Local Policies.
- Select the User Rights Assignment folder.
The policies will be displayed in the details pane.- In the pane, double-click Lock pages in memory.
- In the Local Security Policy Setting dialog box, click Add.
- In the Select Users or Groups dialog box, add an account with privileges to run sqlservr.exe.
- restart เครื่องใหม่
- รัน SQL Script เพื่อตั้งค่า
sp_configure 'show advanced options', 1 RECONFIGURE GO sp_configure 'awe enabled', 1 RECONFIGURE GO sp_configure 'max server memory', 6144 (6GB คร้าบ) RECONFIGURE GO
- เอาให้ชัวร์ restart SQL server ใหม่
วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553
Virtualization
ได้จากเว็บ DNSthailand.net
Virtualization ที่คุณยังไม่เคยรู้ (พุธ, 09 กันยายน 2009)
ไม่ ต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ต่างก็มีการล่มสลายเพื่อเกิดใหม่อยู่เป็นปกติ Server virtualization ก็เช่นเดียวกันที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเราอย่างเงียบๆ กว่าจะรู้ตัวมันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกจะดูเป็นเพียงแค่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่น่าสนใจนัก แต่ในที่สุด Server virtualization ก็ได้พิสูจน์ตัวเองตั้งแต่จากในห้องทดลองจนได้รับการประทับรับรองว่าเป็น ส่วนหนึ่งที่ในการช่วยประหยัดพลังงานได้จริง ทุกวันนี้หลายบริษัทต่างก็ใช้งาน Server virtualization ไม่เพียงแต่เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานทรัพยากร ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นเพียงเท่านั้น แต่เพื่อให้การทำงานกู้ระบบจากปัญหาเซิร์ฟเวอร์ล่มทำได้ง่ายยิ่งขึ้น อัตโนมัติมากขึ้นอีกด้วย แต่จะว่าไปแล้วเทคโนโลยี Virtualization นั้นเริ่มเปิดตัวอย่างเงียบๆ ในมุมของระบบเก็บข้อมูลก่อน แต่เพียงแค่การจัดการ SAN หรือ NAS นั้นยังไม่เต็มประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็นของตัวเทคโนโลยี เนื่องจากช็อปไอทีทั้งหลายต่างก็ต้องปรับตัวแข่งกับปริมาณข้อมูลที่นับวันจะ เพิ่มกันอย่างที่เรียกได้ว่ามหาศาล เทคโนโลยี Block และ File Virtualization จึงช่วยขยับขยายหน่วยบันทึกข้อมูลขององค์กรได้โดยไม่ต้องมีไซโล SAN หรือไม่ก็ต้องตั้งกลุ่ม NAS ขึ้นมาไว้ในบริษัท และแน่นอนว่าการดำเนินการดังกล่าวก็ต้องไม่ส่งผลกระทบใดใดกับการใช้งาน แอพพลิเคชันหรือข้อมูลต่างๆที่ยูสเซอร์ใช้งานกันอยู่อย่างเคร่งเครียดต่อ เนื่องอยู่ทุกวัน แล้วถ้าเดาว่าจะเกิดอะไรต่อไป อย่าพึ่งคิดว่าจะเกิดอะไรในตอนนี้ แต่พื้นที่ทำงานบนเดสท็อปของคุณนั่นแหละที่อาจจะเป็นสิ่งที่จะย้ายเข้ามาสู่ ม่านเมฆเสมือนจริงรายต่อไป เหมือนกับคำสัญญาที่ว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะสามารถอัพเกรดเอ็นด์ยูสเซอร์ได้ ในทุกรอบการเปลี่ยนหรือปรับปรุงเวอร์ชันโดยไม่ตกหล่น แถมท้ายด้วยข้อมูลลับสุดยอดของคุณนั้นจะถูกห่อเอาไว้อย่างดีไม่มีสูญหาย ระหว่างการดำเนินการ ถึงแม้ว่าคุณจะติดอยู่กับฮาร์ดแวร์ตัวอ้วนที่นับวันจะพอกพูนไปด้วยการอัพ โน่นนี่เพิ่มนั่นนิดนี่หน่อยอยู่ตลอดเวลาก็ตามที เจ้าเครื่องจักรเสมือนนี้ก็จะสามารถรักษาความป่วยไข้จากการจัดการตลอดเวลา ดังกล่าวไปได้อีกด้วย ลองมาดูกับว่าเทคโนโลยีนี้และการนำมาใช้งานในองค์กรจะดีเพียงใด
Server Virtualization
ใน ความซับซ้อนของวงการไอทีทุกวันนี้ Server virtualization เป็นอะไรที่ถือว่าลงตัวที่สุด เซิร์ฟเวอร์ที่เป็น Redundant หรือตัวตายตัวแทนสามารถช่วยเติมความสามารถในการทำงานของศูนย์ข้อมูลให้ทำงาน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในไดร์ฟแต่ละตัวที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าทั้งหมดอาจจะไปยุ่งกับตัวเลขงบประมาณบ้างก็ตาม การแบ่งเซิร์ฟเวอร์จริงทางกายภาพออกเป็นเซิร์ฟเวอร์เสมือนนั้นช่วยให้ทั้ง ความสมเหตุสมผลและงบประมาณไอทีกลับเข้ามาอยู่ร่วมกันได้อีกครั้ง โดยสำหรับ Virtualization นั้นคุณจะสามารถเปิดปิดทำการกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์เสมือนของคุณได้ตลอดเวลา ซึ่งในแต่ละครั้งระบบปฏิบัติการหรือบรรดาแอพพลิเคชันที่ทำงานอยู่จะถูก หลอกว่ามันกำลังทำงานอยู่บนเครื่องเสมือนไม่ใช่ฮาร์ดแวร์จริงๆ การทำงานกับ Virtual machine หลายตัวนั้นก็จะช่วยปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดที่เซิร์ฟเวอร์จริงทางกายภาพมี อยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่ แถมยังตอบสนองต่อคำสั่งใดใดจากศูนย์ข้อมูลกลางได้อย่างรวดเร็วไม่มีปัญหาอีก ด้วย
คอนเซ็ปต์ของ Virtualization นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หากย้อนกลับไปทศวรรษที่ 1970 คอมพิวเตอร์เมนเฟรมก็สามารถทำงานหลายๆ อย่างที่ได้รับคำสั่งมาจากระบบปฏิบัติการได้ในคราวเดียวกันและโดยอิสระต่อ กันด้วย แต่แค่เมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้นที่ทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ต่างก็ช่วยให้เทคโนโลยี Virtualization สามารถเป็นจริงได้ในเชิงอุตสาหกรรมสำหรับเซิร์ฟเวอร์ตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทุกวันนี้ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลต่างๆ ล้วนแต่มีทางเลือกสำหรับโซลูชันของ Virtualization อยู่มากมายทีเดียว บ้างก็พิเศษไม่เหมือนใครไม่เข้ากับคนอื่น บ้างก็เป็นแบบโอเพ่นซอร์ส แต่ทั้งหมดนั้นล้วนแต่ทำงานอยู่บนพื้นฐานของสามกลุ่มเทคโนโลยีพื้นฐานด้วย กัน ซึ่งแบบไหนจะให้ผลเลิศที่สุดก็ขึ้นอยู่กับภาระการทำงานที่ต้องการและลำดับ ความสำคัญของการทำงานแต่ละอย่างแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกันแต่ละที่ต้องพิจารณาดูตัวคุณเอง
Full Virtualization
วิธี ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดจากซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถูกเรียกว่า Hypervisor โดยที่จะสร้างเลเยอร์หรือชั้นการทำงานระหว่างเซิร์ฟเวอร์เสมือนกับฮาร์ดแวร์ ที่เกี่ยวข้อง โดยโซลุชันกลุ่มนี้ก็หนีไม่พ้น VMware และ Microsoft Virtual PC ในขณะที่ KVM (Kernel-based Virtual Machine) ก็เป็นตัวแทนของทางฝ่ายโอเพนซอร์สทำงานบนลีนุกซ์ Hypervisior จะจับเอาคำสั่งของหน่วยประมวลผลและแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างคอนโทรลเลอร์ของ ฮาร์ดแวร์และตัวอุปกรณ์จริง ดังนั้นด้วยกรรมวิธีดังกล่าวจึงใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการใดๆ ก็ได้ ซึ่งสามารถติดตั้งลงบนเซิร์ฟเวอร์เสมือนได้โดยไม่ต้องดัดแปลงค่าใดๆ และไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะมีการรับรู้ว่าการทำงานใดใดอยู่บนสภาพแวดล้อมเสมือน แต่ข้อเสียหลักก็คือ หน่วยประมวลผลจะถูกใช้งานจาก Hypervisor ค่อนข้างคงที่ไม่มากนักแต่มีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดเหมือน กัน ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภาวะเสมือนแบบสมบูรณ์นั้น Hypervisor จะทำงานบนฮาร์ดแวร์โดยมีเซิร์ฟเวอร์เป็นเหมือน Host OS เซิร์ฟเวอร์เสมือนที่จัดการโดย Hypervisor นั้นเรียกได้ว่ากำลังทำงานที่ Guest OS
Para-Virtualization
ระบบแบบ Full virtualization นั้นกินกำลังของหน่วยประมวลผลมากสักหน่อยเนื่องเพราะชุดคำสั่งต่างๆ ถูกส่งให้กับ Hypervisor เพื่อจัดการกับเซิร์ฟเวอร์เสมือนหลายตัวในคราวเดียว แต่ก็ต้องให้เป็นอิสระต่อกันด้วย ทางหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ก็คือ การแก้ไข Guest OSec แต่ละตัวเพื่อให้รับรู้แยกกันว่ากำลังทำงานบนสภาพแวดล้อมเสมือนและทำงานด้วย ความร่วมมือที่ดียิ่งขึ้นได้กับ Hypervisor วิธีการนี้รู้จักกันในชื่อว่า para-virtualization โดยมีซอฟต์แวร์ Xen เป็นหัวหอกอยู่ทางฝั่งโอเพนซอร์ส แต่ก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะทำงานเสมือนในรูปแบบนี้ได้นั้น ก็จะต้องได้รับการแก้ไขโครงสร้างบางอย่างในระดับเคอร์เนลก่อน จึงสามารถใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สอย่าง BSD ลีนุกซ์ หรือโซลาริส แต่ไม่เหมาะกับระบบอย่างวินโดวส์ที่ไม่ยอมให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ
ข้อ ดีของ para-virtualization ก็คือประสิทธิภาพในการทำงาน เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้วิธีนี้นั้นทำงานร่วมกับ Hypervisor เกือบจะเหมือนกับที่ตอบสนองต่อเซิร์ฟเวอร์ธรรมดาที่ไม่ใช่แบบเสมือนเลยที เดียว และความได้เปรียบเพียงอย่างเดียวนี้ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งไมโครซอฟท์และ VMware กำลังปรับปรุงเพิ่มเติมลงไปในผลิตภัณฑ์ของตนเลยทีเดียว
OS-Level Virtualization
ยัง มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำ virtualization ก็คือการเพิ่มความสามารถของเซิร์ฟเวอร์เสมือนลงไปในระดับระบบปฏิบัติการแต่ ต้น Solaris Containers เป็นตัวอย่างหนึ่งของระบบนี้ ซึ่ง Virtuozzo/OpenVZ ก็ทำอย่างเดียวกันนี้กับลีนุกซ์ สำหรับการทำ virtualization ในระดับโอเอสนั้นจะไม่มีการแยกเลเยอร์ของ Hypervisor ออกมา โดยโฮสต์ OS จะทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นแทนไปเลย และแยกทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ออกระหว่างคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์เสมือนทั้งหมด ทั้งยังแยกการทำงานกับเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวให้เป็นอิสระออกจากกัน ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของวิธีนี้ก็คือ เซิร์ฟเวอร์เสมือนทั้งหมดทุกตัวจะต้องใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกัน (แม้ว่าแต่ละเหตุการณ์หรือการทำงานจะมียูสเซอร์และบัญชีการใช้งานของ แอพพลิเคชันแยกจากกัน) สิ่งที่สูญเสียไปก็คือ ความยืดหยุ่นในส่วนของระบบปฏิบัติการดังกล่าว แต่สิ่งที่ได้มาเช่นเดียวกันก็คือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากภาษาที่ใช้ ดังนั้นกับสถาปัตยกรรมที่ใช้ระบบปฏิบัติการเดียวอยู่แล้วก็จะจัดการได้ ง่ายกว่าหลายระบบโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
ง่ายกว่าแต่ก็ยากกว่าด้วย?
สิ่ง ที่ฮาร์ดแวร์ของเฟรมฮาร์ดแวร์ต่างจากพีซีเพราะพีซีไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำ งานแบบเสมือนนี้ได้ตั้งแต่ต้น เป็นทางฝั่งซอฟแวร์เท่านั้นที่ต้องแบกภาระการทำงานดังกล่าวนี้เอาไว้ จนกระทั่งล่าสุดหน่วยประมวลผลตระกูล x86 ทั้งเอเอ็มดี และอินเทลต่างก็ได้เพิ่มการสนับสนุนการทำงานเสมือนลงไปในระดับซีพียูเลยเป็น ครั้งแรก แต่เสียที่ว่าเทคโนโลยีของทั้งคู่ก็ดันถูกพัฒนาขึ้นมาและเป็นไปแบบต่างคน ต่างอยู่ ซึ่งหมายความว่าโค้ดโปรแกรมการทำงานของทั้งคู่แตกต่างกันไม่สามารถทำงานร่วม กันได้ในแง่การทำงานเสมือน จากภาระหน้าที่ในการจัดการเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริงเชื่อมต่อเข้าสู่พอร์ต I/O และทรัพยากรฮาร์ดแวร์ต่างๆ เจ้า hardware virtualization จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของ Hypervisor ที่ต้องดูแลอยู่ทุกวัน นอกเหนือจากนั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ระบบปฏิบัติการก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมารันแบบ para-virtualized จึงสามารถใช้งานร่วมกับวินโดวส์ได้สบาย การทำงานเสมือนในระดับซีพียูนั้นไม่ได้มาโดยอัตโนมัติแต่คุณจะต้องเขียนอะไร ลงไปในซอฟแวร์ Virtualization เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกัน แต่ด้วยความน่าสนใจของประโยชน์ที่จะได้รับ ทำให้ใครๆ ก็อยากจะเขียนเพิ่มเติมเข้าไปในซอฟต์แวร์ของตนทั้งสิ้นเพื่อสนับสนุนการทำ งานดังกล่าว
ชุดเครื่องมือเสมือน
แต่ละวิธี ของการทำ Virtualization ล้วนแล้วแต่มีข้อดีของตนเองตามแต่สถานการณ์ที่ต้องการ หากเซิร์ฟเวอร์จะต้องมาใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันก็อาจจะดีที่จะใช้งานแบบ OS-level virtualization แต่อีกเทคโนโลยีหนึ่งๆ ก็มีข้อดีในบางสถานการณ์อยู่เช่นกัน Para-virtualization แสดงให้เห็นถึงพยายามรวมเอาความดีที่สุดจากทั้งสองโลกเอาไว้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเลือกที่จะใช้งานเสมือนจริงโดยให้หน่วยประมวลผลรับรู้ด้วย ว่าทำงานเสมือนอยู่ ให้ทั้งประสิทธิภาพการทำงานที่ดีและใช้งานหลากหลายระบบปฏิบัติการไปได้ใน คราวเดียว Full virtualization ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจากทั้งสามแบบคือ แยก guest OSes ออกจากกันและแยกจากโฮสต์ OS ด้วย เป็นตัวเลือกที่ดีมในการทดสอบการันตีคุณภาพของโปรแกรมซอฟต์แวร์ต่างๆ เพราะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่ต้องกลัวผลทดสอบผสมปนเปกันไปมา
และ เพื่อสนับสนุนการทำงานกับ guest OS ที่หลากหลายมากขึ้น Full virtualization จึงมีอีกหนึ่งความสามารถพิเศษคือ ความสามารถในการบันทึกสแนปช็อตหรือหยุดเวลาสถานะการตั้งค่าการทำงานใดๆ ณ เวลานั้นๆ เก็บเอาไว้ได้ เพื่อหากว่าเกิดเหตุการณ์ใดก็จะสามารถกู้สถานะดังกล่าวกลับมาได้ทุกครั้งไป หรือจะใช้ในการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ใหม่ให้เหมือนตัวเก่าก็ได้เช่นเดียวกัน บริษัทซอฟต์แวร์หลายแห่งเริ่มที่จะโพสต์สแนปช็อตของซอฟต์แวร์ให้ทดลองใช้งาน ไว้บนเว็บ เพื่อให้สะดวกต่อการดาวน์โหลดไปแล้วทดสอบใช้งานได้ทันที โดยไม่มีปัญหาการตั้งค่ายุ่งยากอีกต่อไป
แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ อย่าลืมว่าเซิร์ฟเวอร์เสมือนก็ต้องการการดูแลรักษาเหมือนเซิร์ฟเวอร์ตัว จริงๆ เช่นกัน การเพิ่มมากขึ้นของการทำเซิร์ฟเวอร์ Virtualization ยิ่งทำให้เครื่องมือยากผู้ผลิตรายอื่นที่ช่วยโอนย้ายจากแบบเซิร์ฟเวอร์ตัว จริงไปยังการทำงานเสมือนเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
Storage Virtualization
หลัง จากหลายปีแห่งความคาดหวังที่ผิดๆ การเริ่มต้นผิดผ่านพ้นไป storage virtualization หรือที่รู้จักกันในชื่อของ block virtualization ก็พิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ ทำให้เวนเดอร์รายใหญ่ต่างก็อ้าแขนรับเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของพวก เขาในที่สุดไม่ว่าจะเป็น IBM, EMC, and HDS (Hitachi Data Systems) โดยตัวของโซลูชันเองก็ได้รับการปรับปรุงมากยิ่งขึ้น ตัวลูกค้าเองโดยเฉพาะหน่วยงานที่ต้องดูแลระบบ SANs ใหญ่ๆ บวกกับความต้องการข้อมูลให้พร้อมในการใช้งานอยู่ตลอดเวลาในปริมาณมาก พวกนี้ต่างก็เข้าใจถึงการใช้งานเจ้าสิ่งนี้บวกกับความเข้าใจในการจัดการตัว เลขความคุ้มทุน ROI จากการลงทุนดังกล่าวด้วย จึงไม่นับว่าเทคโนโลยีนั้นมีปัญหาอีกต่อไป โดยที่ Storage virtualization ให้คุณสามารถระบุจุดบกพร่องในการจัดการศูนย์ข้อมูลได้หลากหลาย โดยมันจะสร้างเลเยอร์ขึ้นมาระหว่างหน่วยความจำกับโฮสต์ทำหน้าที่รวบรวมทุก การเรียกใช้งานจากทุกอุปกรณ์ เมื่อนำไปใช้งานในระบบ SAN ก็จะช่วยให้เกิดจุดการจัดการเพียงจุดเดียวสำหรับทุกระดับบล็อกของหน่วยความ จำ และง่ายขึ้นกว่าเมื่อ Storage virtualization ทำพูลของหน่วยความจำจริงหลายแหล่งเข้าด้วยกัน แม้จะอยู่คนละเครือข่ายก็ตาม แล้วนำเสนอใหม่ในรูปแบบเสมือนเป็นวอลุ่มใหญ่วอลุ่มเดียวสำหรับโฮสต์ที่จะ เรียกใช้งาน และนอกจากนั้นยังมีอีกหลายบริการในการดำเนินการกับวอลุ่มเสมือนนั้นๆ ซึ่งนี่ก็มาจากพื้นฐานของการจัดการวอลุ่ม อาทิ LUN (logical unit number) masking, concatenation และการทำวอลุ่ม grouping and striping เพื่อป้องกันข้อมูลไม่ให้เกิดความเสียหายและพร้อมที่จะกู้กลับมาหากเกิด เหตุการณ์ดังกล่าวจริงๆ ทั้งนี้รวมไปถึงการทำสแนปช็อตหรือ Mirroring ด้วย
โดย สรุปสั้นก็คือ Virtualization เป็นโซลูชันที่เราสามารถใช้เป็นจุดควบคุมกลาง สนับสนุนนโยบายจัดการหน่วยข้อมูลเพื่อให้ได้ระดับ SLAs ที่สูงขึ้น แต่บางทีส่วนที่สำคัญที่สุดที่มีจาก block-level virtualization ก็คือการย้ายข้อมูลอย่างที่ไม่มีการสูญเสียข้อมูลแต่อย่างใด สำหรับองค์กรขนาดใหญ่การโอนย้ายข้อมูลอยู่เสมอๆ นับเป็นสัจธรรมของชีวิต เมื่ออุปกรณ์เดิมหมดสัญญาเช่าไป เราอาจสั่งซื้ออุปกรณ์เครื่องใหม่ผ่านการซื้อขายออนไลน์ block-level virtualization จะทำให้การย้ายข้อมูลของคุณไม่มีตกหล่นไปเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ดูแลศูนย์ข้อมูลก็ไม่ต้องปวดหัวกับการเฝ้าดูแลหรือต้องคอยเปลี่ยนชิ้น ส่วนที่ถึงอายุต้องโอนย้ายที่เพื่อเปลี่ยนแปลงใหม่ ผู้ใช้งานข้อมูลหรือแอพพลิเคชันก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่าง การดำเนินการ เรียกว่ายังใช้งานไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำ ให้การผลิตก็ไม่ต้องหยุด การแบ็คอัพข้อมูลทำได้รวดเร็วอาจเพียงแค่ 30 นาทีแทนที่จะเป็น 6 ชั่วโมง จะจัดการเปลี่ยนจัดตำแหน่งการจัดเก็บเสียใหม่ก็ทำได้แทบจะทันที ทำให้เราไม่ต้องมีช่วงเวลาดาวน์เซิร์ฟเวอร์เพื่อจัดการสิ่งเหล่านั้น ทำให้อัตราส่วนการใช้งานของสินทรัพย์นั้นมีความคุ้มค่ามากขึ้น บางแห่งสามารถเพิ่มอัตราส่วนการใช้งานได้จากระหว่าง 25-50 เปอร์เซ็นต์ไปเป็นถึง 75 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวหลังจากใช้งานเจ้าเทคโนโลยี Storage virtualization นี้
รูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งสี่
ใน การประกอบใช้งาน SAN แบบเสมือนนั้นทำได้ด้วยกัน 4 แบบประกอบไปด้วย in-band appliances, out-of- band appliances, แบบไฮบริดลูกครึ่งที่เรียกชื่อว่า SPAID (Split Path Architecture for Intelligent Devices) และ controller- based virtualization ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบใดๆ โซลูชัน storage virtualization ทั้งหมดจะต้องทำสิ่งพื้นฐาน 3 สิ่งเสียก่อนนั่นคือ 1.) สร้างแผนที่เสมือนของดิสก์และหน่วยความจำจริงขึ้นมา ซึ่งเหมือนกับการตั้งค่า metadata 2.) ส่งคำสั่งสำหรับที่จะให้เกิดการตั้งค่าที่เปลี่ยนไปและงานการจัดการหน่วย ความจำ และสุดท้ายแน่นอน 3.) ย้ายข้อมูลระหว่างโฮสต์และหน่วยความจำที่ต้องการ สถาปัตยกรรมทั้ง 4 นั้นก็แค่แตกต่างกันในวิธีการดำเนิน 3 กระบวนการนี้เท่านั้น ต่างกันตรงการควบคุม Metadata และพาธข้อมูลในการทำงานกับ I/O
ความ ต่างดังกล่าวนั้นเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เรื่องประสิทธิภาพหรือความยืดหยุ่น ในแง่ของขนาดของงาน in-band appliance ทำทั้งหมดในอุปกรณ์เดียวกัน ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ การจัดการ Metadata และฟังก์ชันที่ใช้ควบคุมการทำงานนั้นใช้พาธร่วมกัน ซึ่งเมื่อรู้ดังนี้แล้วจะเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดคอขวดสำหรับระบบ SAN ที่ค่อนข้างซับซ้อนเพราะว่าคำสั่งที่ร้องขอเข้ามาจากทุกโฮสต์จะต้องผ่านจุด ควบคุมจุดเดียวกันหมด เวนเดอร์ที่ทำ In-band appliance เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวนี้จึงได้เพิ่มคลัสเตอร์พิเศษและให้ความสามารถของ หน่วยความจำแคชเพิ่มเข้าไปยังผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ทำให้เวนเดอร์เหล่านี้สามารถพูดกับองค์กรใหญ่ๆที่ใช้งานระบบ SAN ว่าโซลูชันของพวกเขานั้นมีดีในเรื่องประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสำหรับงาน ขนาดใหญ่มากกว่า ตัวอย่างของ In-band appliance ก็มี อาทิ DataCore SANsymphony, FalconStor IPStor, และ IBM SAN Volume Controller ส่วน out-of-band appliance นั้น แยกเอาการจัดการ Metadata และส่วนควบคุมการทำงานออกจากพาธข้อมูล แยกโหลดการทำงานดังกล่าวออกไปไว้ที่อีกเอนจิ้นหนึ่ง ส่วนที่อาจเรียกได้ว่าเป็นข้อที่ไม่ค่อยสะดวกก็คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้วิธีนี้จะต้องติดตั้งตัวแทนของซอฟต์แวร์อยู่ในทุกโฮสต์ที่ ใช้งานอยู่ด้วย หน้าที่ของเจ้าตัวแทนนั้นก็คือเพื่อรับเอา Metadata และคำสั่งควบคุมมาจากสายข้อมูลเพื่อส่งต่อไปให้กับ out-of-band appliance เพื่อนำไปประมวลผลต่อปล่อยให้โฮสต์มุ่งเน้นแต่การทำงานส่งถ่ายข้อมูลกับ หน่วยความจำ เวนเดอร์เพียงรายเดียวที่ให้บริการรูปแบบนี้อยู่ก็คือ LSI Logic จากการเทคโอเวอร์ StoreAge มาอีกที โดยผลิตภัณฑ์ของ StoreAge นั้นสามารถที่จะปรับการทำงานได้ทั้งกับรูปแบบของ out-of-band หรือ SPAID
ระบบ SPAID นั้นไปควบคุมระหว่างความสามารถในการทำงานระดับพอร์ตของอุปกรณ์สวิตชิ่งที่ ชาญฉลาด ลดโหลดของการจัดการ Metadata หรือข้อมูลการควบคุมการสั่งงานต่างๆ ออกจากพาธข้อมูล ไม่เหมือนวิธี out-of-band appliance ตรงที่พาธจะถูกแยกตั้งแต่ที่โฮสต์เลย แต่ของ SPAID นั้นจะมาถูกแยกพาธบนเครือข่าย บนอุปกรณ์อัจฉริยะอย่างสวิตซ์สักตัวหนึ่ง SPAID system นั้นส่งต่อ Metadata และข้อมูล Control path ไปยังเอนจิ้นของ out-of-band เพื่อประมวลผลและส่งพาธข้อมูลผ่านไปยังอุปกรณ์หน่วยความจำ ระบบ SPAID ตัดทิ้งความจำเป็นของตัวแทนในระดับโฮสต์ทิ้งไป โดยทั่วไปซอฟต์แวร์ Virtualization ที่มีพื้นฐานแบบ SPAID นั้นจะทำงานอยู่ในสวิตช์อัจฉริยะหรือ PBA (purpose built appliance) รายชื่อเวนเดอร์ในกลุ่มนี้นั้นได้แก่ EMC (Invista), Incipient และ LSI Logic (StoreAge) คอนโทรลเลอร์ SPAID แต่ละรายจะต้องทำงานร่วมกับสวิตซ์อัจฉริยะจากเวนเดอร์อย่าง Cisco Systems หรือ Brocade/McData
Array controllers กลายเป็นเลเยอร์พื้นฐานที่บริการ Virtualization ถูกใช้งาน อย่างไรก็ตามคอนโทรลเลอร์นั้น โดยทั่วไปจะมีการทำเสมือนเพียงกับตัวดิสก์จริงๆ ภายในระบบหน่วยความจำเท่านั้น แต่ความจริงอันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงไปจากคอนเซ็ปต์เดิมดังกล่าวก็เพื่อให้ทำ Virtualization บนคอนโทรลเลอร์ได้ทั้งส่วนนอกและภายในระบบเก็บข้อมูล เช่นเดียวกับ in-band appliance นั่นคือพาธทั้งสาม ข้อมูล ส่วนควบคุม และ metadata ตัวอย่างของ Virtualization ที่ใช้การทำงานบนคอนโทรลเลอร์เป็นรูปแบบสไตล์ใหม่อันนี้นั้น ก็มีอาทิ HDS TagmaStore Universal Storage Platform การแข่งขันระหว่างเวนเดอร์ทั้งหมดนั้นทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ SPAID ก็มีความคาดหวังค่อนข้างมากในเรื่องของความยืดหยุ่นในเชิงขนาดของงาน แต่ตัวผลิตภัณฑ์เองนั้นก็ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ณ จุดนั้น โดยที่ EMC นั้นหนุนหลัง in-band solutions ทั้งในส่วนของฟีเจอร์และฟังก์ชันการใช้งาน และแม้ว่า IBM จะดูยังไม่เท่าทันกับเจ้าอื่นๆ นักหากเทียบระหว่างฟีเจอร์และฟังก์ชัน แต่พวกเขาก็ยังสามารถทำได้มากกว่านั้นอีกมาก แต่โดยสรุปแล้วเวนเดอร์เกือบทั้งหมดก็มีคุณสมบัติพื้นฐานครบถ้วน เพียงแค่อาจจะขาดคุณสมบัติขั้นสูงต่างๆ ไปบ้างเท่านั้น
File Virtualization
แค่ เพียง block virtualization ก็สามารถช่วยให้การจัดการระบบ SAN ง่ายยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันที่ file virtualization ก็ลดละเลิกความซับซ้อนและข้อจำกัดในองค์กรจากระบบ NAS ไปได้เช่นเดียวกัน เราต่างก็รู้ว่าเมื่อวอลุ่มข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างจัดระเบียบเอาไว้ดีนัก เกิดความเสียหายขึ้นมา ทางหน่วยงานไอทีเองก็มีโอกาสมองเข้าไปหรือจัดการดูแลก้อนข้อมูลนี้น้อยมาก เรื่องทำนองนี้นั้น file virtualization มีทางออก โดยจะมีการจัดการระบุตำแหน่งบนไฟล์เซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ NAS สร้าง Namespace ให้กับเจ้าอุปกรณ์จริงๆ เหล่านั้น ซึ่ง Namespace นั้นก็เป็นเพียงชื่อเรียกที่อ้างถึงลำดับความสำคัญเป็นโครงสร้างของไดเรคทอ รี ไฟล์และ Metadata ที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้วหากจะพูดถึงในระบบไฟล์มาตรฐานอย่าง NTFS แล้ว Namespace ก็จะเกี่ยวเนื่องอยู่กับเรื่องราวในเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือระบบไฟล์ระบบเดียว เมื่อทำแบบเดียวกันกับหลายระบบไฟล์หรือหลายเครื่อง สิ่งที่ File virtualization ทำได้ก็คือภาพๆ เดียวกันเพื่อบอกตำแหน่งของไฟล์และไดเรคทอรี ผู้ดูแลระบบหรือแอดมินก็จะมีจุดควบคุมดูแลการทำงานเพียงจุดเดียวพอ ข้อดีของมันนั้นอาจจะดูคุ้นๆ กันอยู่บ้าง ก็เช่นเดียวกับ Storage virtualization ความสามารถในการโยกย้ายไฟล์ข้อมูลโดยปราศจากความเสียหาย ผู้ดูแลระบบสามารถที่จะทำแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ NAS ได้เป็นประจำหรือจะยกเลิกการใช้งานอุปกรณ์เก่าๆ บางตัวโดยไม่รบกวนการทำงานของยูสเซอร์หรือแอพพลิเคชันต่างๆ
File virtualization นั้นเมื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีคลัสเตอร์ก็สามารถขยายประสิทธิภาพและขนาดการ ทำงานได้อีกมากเช่นกัน คลัสเตอร์ของ NAS สามารถให้ทรูพุธ (MBps) ในหลายรูปแบบที่เร็วกว่า รวมถึง IOPS ก็จะดีกว่า NAS ตัวเดียวเช่นเดียวกัน แอพพลิเคชันที่ใช้ความสามารถในการคำนวณสูงๆ อย่างเช่น การทำเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอหรือแบบจำลองการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มักจะใช้ เทคโนโลยี File virtualization นี่แหละในการเข้าถึงข้อมูลมหาศาลในการทำงาน
สามสถาปัตยกรรมในการทำงาน
File virtualization ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นก็เหมือนกรณีทั่วๆ ไปล่ะนะครับว่า วิธีการที่แตกต่างกันไปในเวนเดอร์แต่ละรายนั้นก็มักจะเหมาะกับการใช้งานที่ แตกต่างกันออกไป ไม่มีวิธีของใครที่จะดีไปเสียหมดกับทุกงาน พูดแบบกว้างๆ ว่าเราสามารถแบ่งกลุ่ม File virtualization ในท้องตลาดได้ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ Platform-integrated namespaces, clustered-storage derived namespaces และ network-resident virtualized namespaces
Platform-integrated namespaces นั้นเป็นส่วนขยายของระบบโฮสต์-ไฟล์ที่ให้ความสัมพันธ์ของคอนเซ็ปต์ไฟล์เป็น กลางๆ ในแต่ละแพล็ตฟอร์มที่แตกต่างกันไประหว่างเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัว namespaces รูปแบบนี้เหมาะสมที่จะใช้กับการทำงานหลายๆ ไซต์ร่วมกัน แต่มันอาจจะไม่ได้มีระบบควบคุมไฟล์ที่ลงลึกนัก และแน่นอนว่าการทำงานอยู่บนระบบไฟล์หรือระบบปฏิบัติการแบบเดียว ตัวอย่างที่มีก็มี อาทิ Brocade StorageX, NFS v4 และ Microsoft Distributed File System (DFS)
Clustered-storage derived namespaces ระบบคลัสเตอร์เก็บข้อมูลนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างระบบคลัสเตอร์กับ เทคโนโลยีระบบไฟล์ขั้นสูง เพื่อสร้างให้เกิดส่วนขยายแบบโมดูลสำหรับทุกวอลุ่ม NFS และ CIFS ที่เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ของระบบคลัสเตอร์แบบนี้นั้นจะให้ Namespace เดียวกันตลอดทั้งคลัสเตอร์ทั้งหมด Clustered storage systems นั้นเหมาะสมกับแอพพลิเคชันประสิทธิภาพสูงอย่างที่สุด ทั้งยังช่วยรวบรวมไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ให้เป็นหนึ่งเดียว และระบบก็มีความมั่นคงสูง เวนเดอร์ในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย Exanet, Isilon, Network Appliance (Data ONTAP GX) และ PolyServe
Network-resident virtualized namespaces นั้นถูกสร้างขึ้นโดยอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน (มักจะถูกอ้างถึงในฐานะไฟล์เมเนเจอร์ของเครือข่าย) ที่ทำงานอยู่ระหว่างลูกข่ายและอุปกรณ์ NAS โดยพื้นฐานก็จะทำหน้าที่เราเตอร์หรือสวิตซ์ที่ดูแลการทำงานโปรโตคอลระดับ ไฟล์ อุปกรณ์เหล่านี้สร้าง Namespace เสมือนระหว่างไฟล์เซิร์ฟเวอร์ในการทำงานส่วนหลังและหาเส้นทางของการจราจร NFS และ CIFS ทั้งหมดระหว่างลูกข่ายกับหน่วยความจำ คุณสามารถเลือกอุปกรณ์ NFM เพื่อใช้งานได้ทั้ง In band (Acopia Networks, Attune Systems, NeoPath Networks) หรือ out of band (EMC Rainfinity) Namespace ในรูปแบบของ Network-resident virtualized นั้น เหมาะกับการทำงานกับหน่วยความจำแบบระดับชั้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับกรณีที่ต้องการการถ่ายข้อมูลแบบที่ไม่สร้างความ เสียหายแก่ข้อมูล Storage virtualization แบบไฟล์และบล็อกนั้นอาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะปรับปรุงรักษาบาดแผลจากการ จู่โจมของข้อมูลมหาศาลในปัจจุบัน
ด้วย Virtualization แบบบล็อกและไฟล์นั้นทำให้ชาวไอทีสามารถมีการจัดการที่คุ้มต้นทุน นำเอานโยบายกระจายจากส่วนกลางได้ตามต้องการและควบคุมระบบเก็บข้อมูลที่แตก ต่างกันไว้ได้ในคราวเดียวอีกด้วย แม้ว่าหนทางในการนำไปใช้งานจะยังอีกยาวไกลและยากลำบากก็ตาม แต่ตัวเทคโนโลยีก็พร้อมตอบสนองต่อความต้องการได้แล้ว เพียงแต่อาจจะต้องรอกันอีกสักหน่อย
Application and Desktop Virtualization
Virtualization นั้นไม่ได้มีแต่เพียงสำหรับศูนย์ข้อมูลไว้ใช้งานเพียงเท่านั้น สำหรับเวิร์กสเตชันที่ซับซ้อนที่สุดไปจนถึงไฟล์ DLLs ที่ง่ายที่สุด virtualization ก็มีประโยชน์ในการคำนวณผ่านเครือข่ายอย่างไม่อาจมองข้าม ตัวอย่างที่ดีของคำกล่าวนี้ก็คือ virtualization ของงานแอพพลิเคชันหรือ application virtualization นั่นเอง ไอเดียเบื้องหลังเจ้านี่ก็เกิดจากความต้องการตัดปัญหาการตั้งค่าที่วุ่นวาย ทั้งหลายจากฝ่ายสนับสนุนที่มักจะพบเจอเป็นประจำสำหรับผู้ใช้งานเดสก์ทอปทั่ว ไป ผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้จะสร้างโลกเสมือนระหว่างโปรแกรมที่ใช้งานกับระบบปฏิบัติ การเหมือนกับกรณีระบบจัดการไฟล์หรือสำหรับวินโดวส์ก็คือ ระบบฐานข้อมูลรีจิสทรีนั่นเอง ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่จะกล่าวถึงนั้นแยกแอพพลิเคชันออกจากภาพเงาของระบบ ปฏิบัติการตามวิธีการของตัวเอง
Application Acrobatics
เวน เดอร์ที่พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบนี้ก็อย่างเช่น Altiris Software Virtualization Solution (SVS) ซึ่งใช้วิธีที่อาจจะดูดั้งเดิมไปบ้าง เริ่มจากไดรเวอร์ตัวกรองง่ายๆ จะถูกติดตั้งลงไปในระบบไฟล์ของวินโดวส์เพื่อติดต่อประสานงานและจัดการ อินพุท-เอาท์พุทให้กับตัวจัดการแอพพลิเคชันของ SVS เมื่อจัดตั้งเลเยอร์ขึ้นมาได้ก็จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่าง SVS กับ OS ซึ่งในความเป็นจริงนั้นทุกๆ กิจกรรมที่แอพพลิเคชันกับระบบปฏิบัติการติดต่อกันตั้งแต่โหลด DLL เพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่รีจิสทรีจะถูกเปลี่ยนผ่านไปยังไฟล์จัดการแคชของ SVS แทน ข้อดีของการทำงานในลักษณะนี้ก็คือ การแยกเป็นอิสระของระบบปฏิบัติการกับแอพพลิเคชัน อะไรก็ตามที่แอพพลิเคชันสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นต่อรีจิ สทรีหรือไฟล์ของมันเองหรือต่อระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็ตามอันที่จริงเกิด ขึ้นบนแค ชของ SVS แทน ในเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงๆ สภาพของระบบปฏิบัติการตัวจริงก็ยังสมบูรณ์อยู่พร้อมที่จะถอดเอาแอพพลิเคชัน นั้นออกได้ง่าย จากการกดปุ่มหรือยกเลิกผ่านรีโมททางไกลเลยก็ยังได้ แต่ก็ข้อบกพร่องเช่นเดียวกันนั่นคือ อาจจะเกิดปัญหาในการจัดการกับเวอร์ชันที่แตกต่างกันหลายๆ เวอร์ชันแม้ว่าจะเป็นแอพพลิเคชันตัวเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้งานไมโครซอฟท์ออฟฟิศ บางครั้งอาจสร้างปัญหาให้กับระบบ SVS ให้เรียกใช้งานเวอร์ชันที่ผิดๆ ถูกๆ หากมีหลายเวอร์ชันติดตั้งไว้ในหลายๆ เลเยอร์
อีกทางเลือกหนึ่งซึ่งค่อนข้างสุดขั้วจากผู้ผลิตอย่าง SoftGrid ของ Softricity (พึ่งจะโดนเทคโอเวอร์ไปโดยไมโครซอฟท์เมื่อเร็วๆนี้ และจะถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแพล็ตฟอร์ม Windows Server) SoftGrid เตรียมสภาวะที่สมบูรณ์ในการใช้งานเสมือน แล้วแอพพลิเคชันจะถูกส่งไปยังเครื่องลูกข่ายเพื่อให้ใช้งานและทำงานภายใน “Sandbox” ที่จะแยกเอาโค้ดของแอพพลิเคชันออกจากระบบปฏิบัติการอย่างเด็ดขาด ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราสามารถแก้ปัญหาเวอร์ชันหลากหลายที่จะสร้างปัญหาให้กับ SVS ไปได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่แลกมาก็คือ กระบวนการเริ่มติดตั้งใช้งานที่ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ดูแลระบบจะต้องสร้างอิมเมจของการติดตั้งเป็นการเฉพาะขึ้นเพื่อปรับสภาวะ ของโค้ดในการใช้งานแอพพลิเคชันผ่าน Streaming
แน่นอนว่าไม่มีส่วนการ ตลาดส่วนใดส่วนหนึ่งที่สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด Thinstall รวมเอาเรื่องความง่ายในการใช้งานของ SVS กับแนวคิดแบบกล่องจาก SoftGrid เข้าด้วยกัน โดยการฝังเอาทั้งสภาพแวดล้อมเสมือนและอิมเมจของแอพพลิเคชันเข้าไว้ด้วยกันใน ไฟล์นามสกุล EXE Thinstall ตัดเอาส่วนสนับสนุนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานออกไป แค่เพียงทำสำเนาหรือส่ง Stream ไฟล์ไปยังลูกข่ายแล้วก็สั่งให้ทำงานเพียงเท่านั้น ไม่ต้องมีตัวแทนมาจัดการใดๆ สำหรับไฟล์อิมเมจก็สามารถส่งต่อและใช้งานแบบเสมือนจริงได้ด้วยโปรแกรมจัดการ ระบบทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Active Directory และ Microsoft Systems Management Server ข้อด้อยเพียงเล็กน้อยก็คือ การต้องปรับแต่งแอพลิเคชันที่ใช้งานผ่านระบบเสมือนของ Thinstall เสียก่อนเท่านั้น
การใช้งานเสมือนแบบคลาสสิคดั้งเดิม
ใน สถานการณ์ของลูกข่ายหลายกรณีโซลูชันเสมือนแบบลงลึกก็มีความจำเป็น อาทิ การมีแอพพลิเคชันดั้งเดิมทำงานบนระบบปฏิบัติการตัวใหม่ กรณีนั้นอาจเป็นการดีที่สุดที่จะแยกเอาแอพพลิเคชันไปไว้ในสภาพแวดล้อมการทำ งานของระบบปฏิบัติการแบบเสมือนให้สมบูรณ์ที่สุด หรือนั่นคือการใช้ “virtual machine” แบบคลาสสิคดั้งเดิมนั่นเอง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้สามารถรันแอพพลิเคชันบนอิมเมจของระบบ ปฏิบัติการที่คุณเลือกใช้งาน ในขณะที่ยังสนับสนุนให้มีการโอนย้ายข้อมูลได้อยู่กับแพล็ตฟอร์ม OS ตัวใหม่หรือที่ไม่คอมแพททิเบิลกัน VMware และไมโครซอฟท์เป็นผู้นำในตลาดส่วนนี้ โดยมีทาง VMware ที่อาจจะดูเด่นกว่าสักเล็กน้อยและเป็นผู้นำแนวความร่วมมือของเวนเดอร์สนับ สนุนให้มีการใช้งาน Virtualization เป็นโซลูชันสำหรับเดสก์ทอปหรือดูแลจัดการแอพพลิเคชัน สำหรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีซีพียูหรือฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ อย่างการประมวลผล 64 บิตก็ทำได้ดีเช่นกัน ข้อดีเป็นพิเศษของ VMware อย่างความสามารถในการทำสแน็ปช็อตเก็บภาพสถานะเอาไว้แล้วเรียกกลับคืนได้ใน ภายหลังก็เป็นที่ชื่นชม สุดท้ายแล้วดูเหมือนตอนนี้สิ่งที่ VMware ได้เคยลงทุนไว้ก็เริ่มผลิดอกออกผลแล้ว โครงการอย่าง VMware Player ที่เป็นทูลส์แสตนด์อะโลนสำหรับโฮสต์ VM ที่สร้างขึ้นมาโดย VMware สำหรับทำงานบนเดสท็อปวินโดวส์ หวังให้ไฟล์อิมเมจเป็นมาตรฐานส่งต่อการทำงานของแอพพลิเคชันที่เป็นไปได้
ไมโครซอฟท์ ก็กำลังดำเนินการไม่แตกต่างกัน เริ่มต้นจากคู่แข่งของ VMware ที่รู้จักกันในนาม Virtual PC ตั้งแต่มันยังเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Connectix ได้ถูกนำมาอัพเดตเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเจ้า Virtual PC 2007 เพิ่มการสนับสนุนวินโดวส์วิสต้าในฐานะระบบปฏิบัติการที่เป็นโฮสต์ แต่ส่วนอื่นก็เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก และยังคงไม่สนับสนุนการทำงานกับการคำนวณขนาด 64 บิต ทั้งยังตามหลัง VMware Workstation ในบางส่วนอย่างเช่น การทำงานร่วมกับอุปกรณ์ USB ผู้เล่นไร้อันดับรายหนึ่งในสมการของ VM ก็คือ Citrix Systems ซึ่งเป็นผู้เล่นที่มีนัยสำคัญในแวดวงการคำนวณหรือประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ Citrix นั้นวางภาพตนเองเป็นผู้บุกเบิกแอพพลิเคชันเสมือน หากมองลงไปลึกๆ แล้ว คุณจะมองภาพออกถึงการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่บวกกับภาพของแอพพลิเคชันเสมือน และ Streaming solution คล้ายๆ กับของทาง SoftGrid ความสำเร็จจากกลยุทธของ Citrix นี้จะบ่งบอกถึงความสามารถในการทำงานในฟังก์ชันนี้ถูกเรียกขานกันในนาม โครงการ Tarpon อันประกอบด้วยโพรโตคอลและพรีเซ็นเทชันเลเยอร์จำนวนมากรวมกันออกมาเป็นลำดับ ชั้นของ Citrix ซึ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Presentation Server ในเดือนมีนาคมนี้ ที่น่าสนใจก็คือ สิ่งที่ทาง VMware ได้เรียนรู้หนึ่งถึงสองสิ่งจากประสบการณ์ของ Citrix
มีจุดที่น่าเป็น ห่วงอยู่หลายจุดที่ทำให้การคำนวณโดยเซิร์ฟเวอร์ดูด้อยลง การสนับสนุนฮาร์ดแวร์พื้นฐานบนเครือข่ายที่ค่อนข้างแย่ การใช้งานจำกัดในแง่พื้นที่ ต้องการฮาร์ดแวร์ที่ค่อนข้างมีสมรรถนะสูงในการทำงานส่วนหลัง ทุกสิ่งได้ถูกนำเสนอและบางทีการเริ่มใช้งาน Virtual Desktop แทนที่จะโฮสต์เซสชันของยูสเซอร์ผู้ใช้งานหลายๆ คนบนอิมเมจของ Terminal Server เดียว แต่คุณกำลังเสมือนหนึ่งโฮสต์ Terminal Server หลายตัวพร้อมกันด้วยแต่ละยูสเซอร์ที่เชื่อมต่อด้วย RDP (Remote Desktop Protocol) ขนาดของงานที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างน่าตกใจ อาจจะต้องใช้ฮาร์ดแวร์เสมือนสัก 10 ตัวเทียบกับการคำนวณโดยเซิร์ฟเวอร์ในการสนับสนุนการทำงานนี้ แต่เมื่อ Citrix ได้จัดการตัวเองเสียใหม่ในฐานะผู้นำของ Virtualization เลเยอร์ VDI อย่าง Wyse และ Neoware และโพรโตคอลอย่าง RDP และ ICA (Independent Computing Architecture) ต่างก็เริ่มมองหาชีวิตใหม่ ซึ่งพวกเขาอาจจะหามันเจอหรือไม่คงต้องดูกันต่อไป
บนถนนเสมือนเบื้องหน้า
อาจ จะกล่าวได้ว่ากลุ่มของผลิตภัณฑ์นี้นั้นเติบโตเต็มที่พร้อมใช้งาน ในกรณีของ Virtualization ของเดสก์ทอปหรือแอพพลิเคชัน การเกิดขึ้นของโซลูชันสนับสนุนอย่าง Managed Workspace ของบริษัท Kidaro แสดงให้เห็นแล้วว่าส่วนแบ่งตลาดส่วนนี้เกิดขึ้นได้แล้วจริงๆ ทาง Kidaro นำเสนอการทำงานร่วมกับพีซีเสมือนของทั้งฝั่ง VMware หรือไมโครซอฟท์ สำหรับโฮสต์แอพพลิเคชันแบบคลาสสิคของ VMware จะมีการเพิ่มเลเยอร์เข้าไปร่วมทำงานกับโฮสต์ OS ซึ่งเป็นการลบเส้นแบ่งระหว่างเดสก์ทอปและแอพพลิเคชันเสมือนให้เหลือน้อยลง SoftGrid ก็มีตัวอย่างที่ได้ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์แอกทีฟไดเรคทอรีไปแล้ว หลังจากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คงจะเป็นการอัพเดตการเป็นลูกข่าย SoftGrid ลงไปยังเวอร์ชันอัพเดตถัดไปของเดสก์ทอปวินโดวส์เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ออกมาในรูปแบบของเซอร์วิสแพ็กแบบที่ไมโครซอฟท์มักจะใช้ นับเป็นอีกความน่าตื่นเต้นอันหนึ่งของการก้าวเข้าสู่โลกใหม่เสมือนจริง
3 รูปแบบของ Server Virtualization
สำหรับ server virtualization แล้ว hypervisor ทำงานเป็นเสมือนโฮสต์ OS ที่เหตุการณ์ และมี Guest OS รวมทั้งแอพพลิเคชันทำงานบนเครื่องจักรเสมือนของตัวมันเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ งานที่ได้รับมากขึ้นจากเซิร์ฟเวอร์เพียงตัวเดียวเหมือนเดิม ประสิทธิภาพของการตอบสนองก็ดีขึ้นด้วย
Full VirtualizationHypervisor สามารถรันเหตุการณ์เสมือนบนระบบปฏิบัติการหลายๆระบบพร้อมกันได้ เซิร์ฟเวอร์เสมือนไม่ต้องสนใจรับรู้ว่ามันกำลังทำงานบนสภาพแวดล้อมเสมือน อยู่
Para-Virtualizationแบบนี้เป็นเวอร์ชัน ที่ระบบปฏิบัติการ ถูกดัดแปลงเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ Hypervisor ยกระดับประสิทธิภาพการทำงานขึ้นไปอีกระดับ
OS Parititioningใน กรณีนี้เซิร์ฟเวอร์เสมือนยังคงทำงานแยกกันอยู่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ทั้งหมดทำงานบนระบบปฏิบัติการเดียวกัน พร้อมทั้งมี Hypervisor ติดตั้งอยู่ภายใน
ประโยชน์ 3 ประการของ Storage Virtualization
Storage virtualization สร้างเลเยอร์ระหว่างโฮสต์และหน่วยเก็บข้อมูล กรองความเป็นตัวตนแยกกันของแต่ละอุปกรณ์ออกไป สร้างพูลของหน่วยความจำเสมือนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแทน
ทำ Provisioning หน่วยเก็บข้อมูลได้ง่ายดาย
ดิสก์ เสมือนสามารถถูกสร้าง เปลี่ยนแปลงขนาดและจ่ายให้กับโฮสต์ภายในเวลาเพียงไม่กี่เศษเสี้ยวนาที นั่นก็คือเวลาเพียงเล็กน้อยเวลาเราทำ provision อุปกรณ์นั่นเอง
การย้ายข้อมูลโดยไม่มีความเสียหาย
แม้ ว่าสิ่งที่ดีที่สุดของ storage virtualization ก็คือ ความสามารถในการโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามายังเครื่องใหม่ หรือแม้แต่ระหว่างอุปกรณ์ใหม่ด้วยกันเองได้โดยไม่ต้องปิดระบบการทำงานหรือ ตัดการเชื่อมต่อของยูสเซอร์หรือแอพพลิเคชัน
การจัดการ Storage ที่ง่ายยิ่งขึ้น
Virtualization นำเอาจุดจัดการแบบรวมศูนย์และกลุ่มของบริการมาตรฐานเพื่อจะรวบรวมกลุ่มของ อุปกรณ์หน่วยความจำทั้งหลายและทำให้งานอย่างการทำ Mirror หรือ Replication ง่ายขึ้น
สามวิธีการในการทำ Application Virtualization
โซ ลูชั่นของ Altiris ไมโครซอฟท์และ Thinstall สร้างปฏิสัมพันธ์เสมือนระหว่างแอพพลิเคชันของวินโดวส์และทรัพยากรสนับสนุน ของระบบปฏิบัติการแยกมันออกจากโฮสต์และแอพพลิเคชั่นอื่นๆ
Altiris SVS
Altiris SVS ใช้การแทรกการทำงานของส่วนอินพุทเอาท์พุทเพื่อนำการร้องขอจากกระบวนการที่ทำ งานอยู่ทั้งหมด ทำการวิเคราะห์เพื่อระบุว่าคำร้องขออันใดควรจะส่งต่อไปให้กับแคชของระบบ เสมือน
SoftGrid จากไมโครซอฟท์
Microsoft SoftGrid จำกัดการรีไดเรคชันมอนิเตอร์ไปยังกระบวนการเสมือนซึ่งบริหารจัดการด้วยเอ เจ้นคอมโพเนนท์ใน user mode และ agent mode
Thinstall
Thinstall ตัดเอาโลคอล OS ออกไปจากสมการเสียเลย โดยการฝังเอาลอจิกของ Virtualization ไว้ในไฟล์เอ็กซีคิวของแอพพลิเคชันที่แพ็กขึ้นมาใหม่
ผู้เชี่ยวชาญการทำ Server Virtualization
ผู้ เล่นรายหลักๆ ในท้องตลาดได้แก่ BMC, computer associates, HP, microsoft, Sun, and Unisys ที่ต่างก็มีโซลูชันการจัดการเครื่องจักรเสมือนของตนเอง รายชื่อเวนเดอร์ด้านล่างนี้มีการติดตั้ง server virtualization ภายในบริษัท ในขณะที่บางส่วนเคยมีแบ็กกราวนด์ในการทำ Automation ของศูนย์ข้อมูล
Cassatt เป็นส่วนหนึ่งของแพล็ตฟอร์ม Collage Cross-Virtualization Manager ให้คุณจัดการแบ่งสัดส่วนของทรัพยากรได้แบบไดนามิกผ่าน VMware และ Xen virtual servers สนับสนุนไมโครซอฟท์ Virtual Server ที่จะเปิดตัวในไม่ช้า
Enigmatec เจ้าของ Execution Management System ที่รวมเอากระบวนการอัตโนมัติบวกกับการจัดการตามนโยบายที่ตั้งเอาไว้ เพิ่มด้วยชุด Virtual Environment Automation และคุณยังทำ image provisioning และ control เสมือนได้โดยอัตโนมัติ
Enomaly ภายใต้ไลเซ็นต์แบบโอเพ่นซอร์ส Enomalism มีเครื่องมือสำหรับมอนิเตอร์และจัดการระบบเสมือนสำหรับ Hypervisor ของ Xen ด้วยคอนโซลเสมือนในการจัดการกับเซิร์ฟเวอร์เสมือนหลายๆ ตัว
Leostream เครื่องมือ P>V physical-to-virtual สำหรับจัดการการโอนย้ายข้อมูล สนับสนุนทั้งวินโดวส์ในด้านของต้นทางและทั้ง VMware GSX และ ESX Server เช่นเดียวกับ Microsoft’s Virtual Server ในฝั่งเป้าหมาย
Opalis รัน Book Automation Software สำหรับงานดูแลบำรุงรักษาศูนย์ข้อมูลโดยอัตโนมัติ ทำงานร่วมกับ VMware Virtual Center สามารถทำงานได้ทุกอย่างตั้งแต่ provision มอนิเตอร์ แบ็คอัพและกู้ข้อมูลจาก Microsoft Virtual Server virtual machines
Opsware บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านศูนย์ข้อมูลออโตเมชั่นนำเสนอ Server Automation System ที่ทำ provision มอนิเตอร์ และจัดการ VMware ESX โปรแกรมเสมือน และ Solaris Containers นอกเหนือจากเซิร์ฟเวอร์จริงๆ
PlateSpin Power Convert สามารถดูแลการโอนย้ายข้อมูลแบบอัตโนมัติจากเซิร์ฟเวอร์วินโดวส์และลีนุกซ์ ไปยัง virtual VMware และ Microsoft Virtual Server รวมถึงสนับสนุนการคอนโซลิเดตข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์และกู้ข้อมูลฉุกเฉิน
Scalent นับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทสำหรับ Virtual Operating Environment ที่จะทำให้คุณโยกย้ายกิจกรรมระหว่างเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างไร้ขอบเขต แม้แต่ในกลุ่มแพล็ตฟอร์มเสมือนและทำงานได้ในขณะเดียวกับที่เครือข่ายยังทำ งานอยู่ การเชื่อมต่อของ iSCSI และไฟเบอร์ชาแนลยังทำงานเป็นปกติ
Surgient มี Virtual QA/Test Lab Management System จัดการการตั้งค่าที่ซับซ้อนมากๆบนเครื่องจักรเสมือน ทั้งยังมีหลักสูตรอบรมให้กับลูกค้าอีกด้วย
SWsoft เจ้าของ Virtuozzo โซลูชันระบบปฏิบัติการเสมือนพิเศษรายเดียว ด้วยการจำลองฮาร์ดแวร์ด้วยโซลูชันการพาร์ทิชัน OS นั้นทำให้คุณสามารถจัดการกับวินโดวส์หรือลีนุกซ์จำนวนมากได้บนเครื่องจักร เสมือน
Virtual Iron แพล็ตฟอร์มบริหารจัดการสำหรับ Xen hypervisor ของระบบโอเพนซอร์ส ทางบริษํทนั้นแข่งขันโดยตรงกับคู่แข่งอย่าง VMware หรือ XenSource โดยมีทูลส์อย่าง LiveMigration, LiveRecovery และ LiveCapacity
Vizioncore เป็นที่รู้จักกันดีจาก esxRanger ซอฟแวร์แบ็คอัพ แต่ทางบริษัทเองก็มีผลิตภัณฑ์ช่วยโอนย้ายข้อมูล ทำสำเนาข้อมูลและบริหารจัดการข้อมูลอยู่อีกด้วย
VMware ยังคงเป็นผู้นำสำหรับ VMware Infrastructure 3 ชุดผลงานที่รวมเอา ESX Server, Virtual-Center ในการจัดการ, VMotion สำหรับย้ายข้อมูลและอีกมากมาย
XenSource จากคนเดียวกับที่เป็นเจ้าของโครงการโอเพ่นซอร์ส Xen hypervisor project นั่นเอง XenEnterprise นั้นเป็นเวอร์ชันสำหรับการพาณิชย์ที่สนับสนุนทั้งวินโดวส์และลีนุกซ์
เวนเดอร์ของผลิตภัณฑ์แอพพลิเคชันและเดสท็อปเสมือน
เนื่อง จากเรากำลังคุยกันเรื่อง Virtualization ทุกวันนี้แอพพลิเคชันต่างๆ นั้นไม่จำเป็นต้องติดตั้งลงบนพีซีตั้งโต๊ะ เนื่องจากเราสามารถส่งมอบให้ใช้งานกันได้ในฐานะเครื่องลูกข่าย โซลูชันฮาร์ดแวร์ Blade และ Thin Client ที่เวนเดอร์ต่างเตรียม VMware DI (Virtual Desktop Infrastructure) และโซลูชั่นอื่นๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ClearCube Technology, ฟูจิตสึ, ฟูจิตสึ-ซีเมนท์, ฮิตาชิ, HP, ไอบีเอ็ม, NComputing, NEC, Neoware, ซัน ไมโครซิสเต็ม และ Wyse Technology
Application Virtualization
AppStream แอพพลิเคชันจาก AppStream เป็นแพล็ตฟอร์ม streaming ที่นำเสนอแอพพลิเคชันของวินโดวส์ไปยังระบบลูกข่ายตามความต้องการ บริษัทนั้นเป็นพันธมิตรกับ Altiris และ Thinstall
Altiris ด้วย Software Virtualization Solution แอพพลิเคชันและข้อมูลถูกห่อไว้ใน Virtual Software Packages และส่งไปยังเดสท็อป ยูสเซอร์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานหรือผู้ดูแลระบบก็จะสามารถรับเอาไว้ใช้งาน ยกเลิกการใช้งานหรือปรับตั้งค่าแอพพลิเคชันได้โดยไม่แตะต้องวินโดวส์ของ เครื่องลูกข่ายเลยแม้แต่น้อย
ไมโครซอฟต์ (Softricity) SoftGrid ส่งแอพพลิเคชันผ่านข้อมูลแบบสตรีมมิ่งไปยังเครื่องลูกข่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต้องไปนั่งติดตั้งดาวน์โหลดหรือส่งให้ทำงานแต่อย่างใด แพ็กเก็จของแอพพลิเคชันนั้นก็สามารถถ่ายทอดระหว่างเครื่องได้ขึ้นอยู่กับ ระดับของยูสเซอร์
Thinstall ชุดซอฟแวร์ของบริษัทนี้นั้นทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการเสมือน ซึ่งมีการรวมเอาแต่ละแอพพลิเคชันเข้าสู่เดสก์ทอปโดยตรง โดยที่ .exe ที่ได้ไปนั้นจะบรรจุแคปเจอร์คอลของรีจิสทรีและระบบไฟล์เอาไว้ทั้งหมด
Desktop Virtualization
Citrix เตรียมการให้ thin-client เชื่อมต่อเข้าสู่เดสก์ทอปของเอนด์ยูสเซอร์ผ่าน Desktop Broker ตัวเสริมโปรแกมของ Presentation Server ทางบริษัทกำลังเตรียมการในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ตัวเชื่อมต่อยังโฮสต์เดสก์ทอปแบบอื่นๆ แอพพลิเคชันเสมือนและโซลูชันการส่งข้อมูลแบบสตรีม
Leostream Virtual Desktop Connection Broker ของเจ้านี้นั้นนำเอาการจัดการการเชื่อมต่อ desktop fail-over และความสามารถในการบริการตัวเองให้กับทาง VDI environments ของ VMware
propero มีการออกเวอร์ชันปรับปรุงของซอฟต์แวร์ workSpace ที่ดูแลการจัดการการเชื่อมต่อและเชื่อมต่อเข้าสู่ส่วนรักษาความปลอดภัยของ VMware VDI
Provision networks เสนอ Virtual Access Suite ที่รวมเอาการจัดการการเชื่อมต่อ การจัดการข้อผิดพลาดและเกตเวย์ในการเชื่อมต่อ VMware VDI
Virtual Machines
ไมโครซอฟท์ ดาวน์โหลด Virtual PC ได้ฟรีให้คุณรันหลายๆ ระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นดอส และวินโดวส์ทุกเวอร์ชันย้อนไปถึงวินโดวส์ 95 รวมไปถึง Mac ด้วย
Parallels เวิร์กสเตชันวินโดวส์และลีนุกซ์ รวมไปถึงเดสท็อปของแมคของบริษัทนี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยี hypervisor ที่ดึงเอาประสิทธิภาพการทำงานของอินพุทเอาท์พุทออกมาให้มากขึ้น
VMware ซอฟแวร์ที่มีผู้สนับสนุนเป็นพันธมิตรมากมายผ่านกลุ่มพันธมิตร VMware-VDI ให้สภาพการทำงานผ่านการส่งข้อมูล streaming จากศูนย์ข้อมูลไปยังลูกข่าย เป็นการทำงานของซอฟต์แวร์ผ่านรีโมทดิสเพลย์ เวิร์กสเตชันของ VMware ถูกออกแบบมาให้สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการรัน OS หลายๆ ตัวบนพีซีเครื่องเดียวกัน
Virtualization ที่คุณยังไม่เคยรู้ (พุธ, 09 กันยายน 2009)
ไม่ ต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ต่างก็มีการล่มสลายเพื่อเกิดใหม่อยู่เป็นปกติ Server virtualization ก็เช่นเดียวกันที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเราอย่างเงียบๆ กว่าจะรู้ตัวมันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกจะดูเป็นเพียงแค่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่น่าสนใจนัก แต่ในที่สุด Server virtualization ก็ได้พิสูจน์ตัวเองตั้งแต่จากในห้องทดลองจนได้รับการประทับรับรองว่าเป็น ส่วนหนึ่งที่ในการช่วยประหยัดพลังงานได้จริง ทุกวันนี้หลายบริษัทต่างก็ใช้งาน Server virtualization ไม่เพียงแต่เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานทรัพยากร ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นเพียงเท่านั้น แต่เพื่อให้การทำงานกู้ระบบจากปัญหาเซิร์ฟเวอร์ล่มทำได้ง่ายยิ่งขึ้น อัตโนมัติมากขึ้นอีกด้วย แต่จะว่าไปแล้วเทคโนโลยี Virtualization นั้นเริ่มเปิดตัวอย่างเงียบๆ ในมุมของระบบเก็บข้อมูลก่อน แต่เพียงแค่การจัดการ SAN หรือ NAS นั้นยังไม่เต็มประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็นของตัวเทคโนโลยี เนื่องจากช็อปไอทีทั้งหลายต่างก็ต้องปรับตัวแข่งกับปริมาณข้อมูลที่นับวันจะ เพิ่มกันอย่างที่เรียกได้ว่ามหาศาล เทคโนโลยี Block และ File Virtualization จึงช่วยขยับขยายหน่วยบันทึกข้อมูลขององค์กรได้โดยไม่ต้องมีไซโล SAN หรือไม่ก็ต้องตั้งกลุ่ม NAS ขึ้นมาไว้ในบริษัท และแน่นอนว่าการดำเนินการดังกล่าวก็ต้องไม่ส่งผลกระทบใดใดกับการใช้งาน แอพพลิเคชันหรือข้อมูลต่างๆที่ยูสเซอร์ใช้งานกันอยู่อย่างเคร่งเครียดต่อ เนื่องอยู่ทุกวัน แล้วถ้าเดาว่าจะเกิดอะไรต่อไป อย่าพึ่งคิดว่าจะเกิดอะไรในตอนนี้ แต่พื้นที่ทำงานบนเดสท็อปของคุณนั่นแหละที่อาจจะเป็นสิ่งที่จะย้ายเข้ามาสู่ ม่านเมฆเสมือนจริงรายต่อไป เหมือนกับคำสัญญาที่ว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะสามารถอัพเกรดเอ็นด์ยูสเซอร์ได้ ในทุกรอบการเปลี่ยนหรือปรับปรุงเวอร์ชันโดยไม่ตกหล่น แถมท้ายด้วยข้อมูลลับสุดยอดของคุณนั้นจะถูกห่อเอาไว้อย่างดีไม่มีสูญหาย ระหว่างการดำเนินการ ถึงแม้ว่าคุณจะติดอยู่กับฮาร์ดแวร์ตัวอ้วนที่นับวันจะพอกพูนไปด้วยการอัพ โน่นนี่เพิ่มนั่นนิดนี่หน่อยอยู่ตลอดเวลาก็ตามที เจ้าเครื่องจักรเสมือนนี้ก็จะสามารถรักษาความป่วยไข้จากการจัดการตลอดเวลา ดังกล่าวไปได้อีกด้วย ลองมาดูกับว่าเทคโนโลยีนี้และการนำมาใช้งานในองค์กรจะดีเพียงใด
Server Virtualization
ใน ความซับซ้อนของวงการไอทีทุกวันนี้ Server virtualization เป็นอะไรที่ถือว่าลงตัวที่สุด เซิร์ฟเวอร์ที่เป็น Redundant หรือตัวตายตัวแทนสามารถช่วยเติมความสามารถในการทำงานของศูนย์ข้อมูลให้ทำงาน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในไดร์ฟแต่ละตัวที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าทั้งหมดอาจจะไปยุ่งกับตัวเลขงบประมาณบ้างก็ตาม การแบ่งเซิร์ฟเวอร์จริงทางกายภาพออกเป็นเซิร์ฟเวอร์เสมือนนั้นช่วยให้ทั้ง ความสมเหตุสมผลและงบประมาณไอทีกลับเข้ามาอยู่ร่วมกันได้อีกครั้ง โดยสำหรับ Virtualization นั้นคุณจะสามารถเปิดปิดทำการกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์เสมือนของคุณได้ตลอดเวลา ซึ่งในแต่ละครั้งระบบปฏิบัติการหรือบรรดาแอพพลิเคชันที่ทำงานอยู่จะถูก หลอกว่ามันกำลังทำงานอยู่บนเครื่องเสมือนไม่ใช่ฮาร์ดแวร์จริงๆ การทำงานกับ Virtual machine หลายตัวนั้นก็จะช่วยปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดที่เซิร์ฟเวอร์จริงทางกายภาพมี อยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่ แถมยังตอบสนองต่อคำสั่งใดใดจากศูนย์ข้อมูลกลางได้อย่างรวดเร็วไม่มีปัญหาอีก ด้วย
คอนเซ็ปต์ของ Virtualization นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หากย้อนกลับไปทศวรรษที่ 1970 คอมพิวเตอร์เมนเฟรมก็สามารถทำงานหลายๆ อย่างที่ได้รับคำสั่งมาจากระบบปฏิบัติการได้ในคราวเดียวกันและโดยอิสระต่อ กันด้วย แต่แค่เมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้นที่ทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ต่างก็ช่วยให้เทคโนโลยี Virtualization สามารถเป็นจริงได้ในเชิงอุตสาหกรรมสำหรับเซิร์ฟเวอร์ตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทุกวันนี้ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลต่างๆ ล้วนแต่มีทางเลือกสำหรับโซลูชันของ Virtualization อยู่มากมายทีเดียว บ้างก็พิเศษไม่เหมือนใครไม่เข้ากับคนอื่น บ้างก็เป็นแบบโอเพ่นซอร์ส แต่ทั้งหมดนั้นล้วนแต่ทำงานอยู่บนพื้นฐานของสามกลุ่มเทคโนโลยีพื้นฐานด้วย กัน ซึ่งแบบไหนจะให้ผลเลิศที่สุดก็ขึ้นอยู่กับภาระการทำงานที่ต้องการและลำดับ ความสำคัญของการทำงานแต่ละอย่างแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกันแต่ละที่ต้องพิจารณาดูตัวคุณเอง
Full Virtualization
วิธี ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดจากซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถูกเรียกว่า Hypervisor โดยที่จะสร้างเลเยอร์หรือชั้นการทำงานระหว่างเซิร์ฟเวอร์เสมือนกับฮาร์ดแวร์ ที่เกี่ยวข้อง โดยโซลุชันกลุ่มนี้ก็หนีไม่พ้น VMware และ Microsoft Virtual PC ในขณะที่ KVM (Kernel-based Virtual Machine) ก็เป็นตัวแทนของทางฝ่ายโอเพนซอร์สทำงานบนลีนุกซ์ Hypervisior จะจับเอาคำสั่งของหน่วยประมวลผลและแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างคอนโทรลเลอร์ของ ฮาร์ดแวร์และตัวอุปกรณ์จริง ดังนั้นด้วยกรรมวิธีดังกล่าวจึงใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการใดๆ ก็ได้ ซึ่งสามารถติดตั้งลงบนเซิร์ฟเวอร์เสมือนได้โดยไม่ต้องดัดแปลงค่าใดๆ และไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะมีการรับรู้ว่าการทำงานใดใดอยู่บนสภาพแวดล้อมเสมือน แต่ข้อเสียหลักก็คือ หน่วยประมวลผลจะถูกใช้งานจาก Hypervisor ค่อนข้างคงที่ไม่มากนักแต่มีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดเหมือน กัน ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภาวะเสมือนแบบสมบูรณ์นั้น Hypervisor จะทำงานบนฮาร์ดแวร์โดยมีเซิร์ฟเวอร์เป็นเหมือน Host OS เซิร์ฟเวอร์เสมือนที่จัดการโดย Hypervisor นั้นเรียกได้ว่ากำลังทำงานที่ Guest OS
Para-Virtualization
ระบบแบบ Full virtualization นั้นกินกำลังของหน่วยประมวลผลมากสักหน่อยเนื่องเพราะชุดคำสั่งต่างๆ ถูกส่งให้กับ Hypervisor เพื่อจัดการกับเซิร์ฟเวอร์เสมือนหลายตัวในคราวเดียว แต่ก็ต้องให้เป็นอิสระต่อกันด้วย ทางหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ก็คือ การแก้ไข Guest OSec แต่ละตัวเพื่อให้รับรู้แยกกันว่ากำลังทำงานบนสภาพแวดล้อมเสมือนและทำงานด้วย ความร่วมมือที่ดียิ่งขึ้นได้กับ Hypervisor วิธีการนี้รู้จักกันในชื่อว่า para-virtualization โดยมีซอฟต์แวร์ Xen เป็นหัวหอกอยู่ทางฝั่งโอเพนซอร์ส แต่ก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะทำงานเสมือนในรูปแบบนี้ได้นั้น ก็จะต้องได้รับการแก้ไขโครงสร้างบางอย่างในระดับเคอร์เนลก่อน จึงสามารถใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สอย่าง BSD ลีนุกซ์ หรือโซลาริส แต่ไม่เหมาะกับระบบอย่างวินโดวส์ที่ไม่ยอมให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ
ข้อ ดีของ para-virtualization ก็คือประสิทธิภาพในการทำงาน เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้วิธีนี้นั้นทำงานร่วมกับ Hypervisor เกือบจะเหมือนกับที่ตอบสนองต่อเซิร์ฟเวอร์ธรรมดาที่ไม่ใช่แบบเสมือนเลยที เดียว และความได้เปรียบเพียงอย่างเดียวนี้ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งไมโครซอฟท์และ VMware กำลังปรับปรุงเพิ่มเติมลงไปในผลิตภัณฑ์ของตนเลยทีเดียว
OS-Level Virtualization
ยัง มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำ virtualization ก็คือการเพิ่มความสามารถของเซิร์ฟเวอร์เสมือนลงไปในระดับระบบปฏิบัติการแต่ ต้น Solaris Containers เป็นตัวอย่างหนึ่งของระบบนี้ ซึ่ง Virtuozzo/OpenVZ ก็ทำอย่างเดียวกันนี้กับลีนุกซ์ สำหรับการทำ virtualization ในระดับโอเอสนั้นจะไม่มีการแยกเลเยอร์ของ Hypervisor ออกมา โดยโฮสต์ OS จะทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นแทนไปเลย และแยกทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ออกระหว่างคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์เสมือนทั้งหมด ทั้งยังแยกการทำงานกับเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวให้เป็นอิสระออกจากกัน ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของวิธีนี้ก็คือ เซิร์ฟเวอร์เสมือนทั้งหมดทุกตัวจะต้องใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกัน (แม้ว่าแต่ละเหตุการณ์หรือการทำงานจะมียูสเซอร์และบัญชีการใช้งานของ แอพพลิเคชันแยกจากกัน) สิ่งที่สูญเสียไปก็คือ ความยืดหยุ่นในส่วนของระบบปฏิบัติการดังกล่าว แต่สิ่งที่ได้มาเช่นเดียวกันก็คือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากภาษาที่ใช้ ดังนั้นกับสถาปัตยกรรมที่ใช้ระบบปฏิบัติการเดียวอยู่แล้วก็จะจัดการได้ ง่ายกว่าหลายระบบโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
ง่ายกว่าแต่ก็ยากกว่าด้วย?
สิ่ง ที่ฮาร์ดแวร์ของเฟรมฮาร์ดแวร์ต่างจากพีซีเพราะพีซีไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำ งานแบบเสมือนนี้ได้ตั้งแต่ต้น เป็นทางฝั่งซอฟแวร์เท่านั้นที่ต้องแบกภาระการทำงานดังกล่าวนี้เอาไว้ จนกระทั่งล่าสุดหน่วยประมวลผลตระกูล x86 ทั้งเอเอ็มดี และอินเทลต่างก็ได้เพิ่มการสนับสนุนการทำงานเสมือนลงไปในระดับซีพียูเลยเป็น ครั้งแรก แต่เสียที่ว่าเทคโนโลยีของทั้งคู่ก็ดันถูกพัฒนาขึ้นมาและเป็นไปแบบต่างคน ต่างอยู่ ซึ่งหมายความว่าโค้ดโปรแกรมการทำงานของทั้งคู่แตกต่างกันไม่สามารถทำงานร่วม กันได้ในแง่การทำงานเสมือน จากภาระหน้าที่ในการจัดการเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริงเชื่อมต่อเข้าสู่พอร์ต I/O และทรัพยากรฮาร์ดแวร์ต่างๆ เจ้า hardware virtualization จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของ Hypervisor ที่ต้องดูแลอยู่ทุกวัน นอกเหนือจากนั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ระบบปฏิบัติการก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมารันแบบ para-virtualized จึงสามารถใช้งานร่วมกับวินโดวส์ได้สบาย การทำงานเสมือนในระดับซีพียูนั้นไม่ได้มาโดยอัตโนมัติแต่คุณจะต้องเขียนอะไร ลงไปในซอฟแวร์ Virtualization เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกัน แต่ด้วยความน่าสนใจของประโยชน์ที่จะได้รับ ทำให้ใครๆ ก็อยากจะเขียนเพิ่มเติมเข้าไปในซอฟต์แวร์ของตนทั้งสิ้นเพื่อสนับสนุนการทำ งานดังกล่าว
ชุดเครื่องมือเสมือน
แต่ละวิธี ของการทำ Virtualization ล้วนแล้วแต่มีข้อดีของตนเองตามแต่สถานการณ์ที่ต้องการ หากเซิร์ฟเวอร์จะต้องมาใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันก็อาจจะดีที่จะใช้งานแบบ OS-level virtualization แต่อีกเทคโนโลยีหนึ่งๆ ก็มีข้อดีในบางสถานการณ์อยู่เช่นกัน Para-virtualization แสดงให้เห็นถึงพยายามรวมเอาความดีที่สุดจากทั้งสองโลกเอาไว้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเลือกที่จะใช้งานเสมือนจริงโดยให้หน่วยประมวลผลรับรู้ด้วย ว่าทำงานเสมือนอยู่ ให้ทั้งประสิทธิภาพการทำงานที่ดีและใช้งานหลากหลายระบบปฏิบัติการไปได้ใน คราวเดียว Full virtualization ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจากทั้งสามแบบคือ แยก guest OSes ออกจากกันและแยกจากโฮสต์ OS ด้วย เป็นตัวเลือกที่ดีมในการทดสอบการันตีคุณภาพของโปรแกรมซอฟต์แวร์ต่างๆ เพราะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่ต้องกลัวผลทดสอบผสมปนเปกันไปมา
และ เพื่อสนับสนุนการทำงานกับ guest OS ที่หลากหลายมากขึ้น Full virtualization จึงมีอีกหนึ่งความสามารถพิเศษคือ ความสามารถในการบันทึกสแนปช็อตหรือหยุดเวลาสถานะการตั้งค่าการทำงานใดๆ ณ เวลานั้นๆ เก็บเอาไว้ได้ เพื่อหากว่าเกิดเหตุการณ์ใดก็จะสามารถกู้สถานะดังกล่าวกลับมาได้ทุกครั้งไป หรือจะใช้ในการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ใหม่ให้เหมือนตัวเก่าก็ได้เช่นเดียวกัน บริษัทซอฟต์แวร์หลายแห่งเริ่มที่จะโพสต์สแนปช็อตของซอฟต์แวร์ให้ทดลองใช้งาน ไว้บนเว็บ เพื่อให้สะดวกต่อการดาวน์โหลดไปแล้วทดสอบใช้งานได้ทันที โดยไม่มีปัญหาการตั้งค่ายุ่งยากอีกต่อไป
แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ อย่าลืมว่าเซิร์ฟเวอร์เสมือนก็ต้องการการดูแลรักษาเหมือนเซิร์ฟเวอร์ตัว จริงๆ เช่นกัน การเพิ่มมากขึ้นของการทำเซิร์ฟเวอร์ Virtualization ยิ่งทำให้เครื่องมือยากผู้ผลิตรายอื่นที่ช่วยโอนย้ายจากแบบเซิร์ฟเวอร์ตัว จริงไปยังการทำงานเสมือนเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
Storage Virtualization
หลัง จากหลายปีแห่งความคาดหวังที่ผิดๆ การเริ่มต้นผิดผ่านพ้นไป storage virtualization หรือที่รู้จักกันในชื่อของ block virtualization ก็พิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ ทำให้เวนเดอร์รายใหญ่ต่างก็อ้าแขนรับเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของพวก เขาในที่สุดไม่ว่าจะเป็น IBM, EMC, and HDS (Hitachi Data Systems) โดยตัวของโซลูชันเองก็ได้รับการปรับปรุงมากยิ่งขึ้น ตัวลูกค้าเองโดยเฉพาะหน่วยงานที่ต้องดูแลระบบ SANs ใหญ่ๆ บวกกับความต้องการข้อมูลให้พร้อมในการใช้งานอยู่ตลอดเวลาในปริมาณมาก พวกนี้ต่างก็เข้าใจถึงการใช้งานเจ้าสิ่งนี้บวกกับความเข้าใจในการจัดการตัว เลขความคุ้มทุน ROI จากการลงทุนดังกล่าวด้วย จึงไม่นับว่าเทคโนโลยีนั้นมีปัญหาอีกต่อไป โดยที่ Storage virtualization ให้คุณสามารถระบุจุดบกพร่องในการจัดการศูนย์ข้อมูลได้หลากหลาย โดยมันจะสร้างเลเยอร์ขึ้นมาระหว่างหน่วยความจำกับโฮสต์ทำหน้าที่รวบรวมทุก การเรียกใช้งานจากทุกอุปกรณ์ เมื่อนำไปใช้งานในระบบ SAN ก็จะช่วยให้เกิดจุดการจัดการเพียงจุดเดียวสำหรับทุกระดับบล็อกของหน่วยความ จำ และง่ายขึ้นกว่าเมื่อ Storage virtualization ทำพูลของหน่วยความจำจริงหลายแหล่งเข้าด้วยกัน แม้จะอยู่คนละเครือข่ายก็ตาม แล้วนำเสนอใหม่ในรูปแบบเสมือนเป็นวอลุ่มใหญ่วอลุ่มเดียวสำหรับโฮสต์ที่จะ เรียกใช้งาน และนอกจากนั้นยังมีอีกหลายบริการในการดำเนินการกับวอลุ่มเสมือนนั้นๆ ซึ่งนี่ก็มาจากพื้นฐานของการจัดการวอลุ่ม อาทิ LUN (logical unit number) masking, concatenation และการทำวอลุ่ม grouping and striping เพื่อป้องกันข้อมูลไม่ให้เกิดความเสียหายและพร้อมที่จะกู้กลับมาหากเกิด เหตุการณ์ดังกล่าวจริงๆ ทั้งนี้รวมไปถึงการทำสแนปช็อตหรือ Mirroring ด้วย
โดย สรุปสั้นก็คือ Virtualization เป็นโซลูชันที่เราสามารถใช้เป็นจุดควบคุมกลาง สนับสนุนนโยบายจัดการหน่วยข้อมูลเพื่อให้ได้ระดับ SLAs ที่สูงขึ้น แต่บางทีส่วนที่สำคัญที่สุดที่มีจาก block-level virtualization ก็คือการย้ายข้อมูลอย่างที่ไม่มีการสูญเสียข้อมูลแต่อย่างใด สำหรับองค์กรขนาดใหญ่การโอนย้ายข้อมูลอยู่เสมอๆ นับเป็นสัจธรรมของชีวิต เมื่ออุปกรณ์เดิมหมดสัญญาเช่าไป เราอาจสั่งซื้ออุปกรณ์เครื่องใหม่ผ่านการซื้อขายออนไลน์ block-level virtualization จะทำให้การย้ายข้อมูลของคุณไม่มีตกหล่นไปเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ดูแลศูนย์ข้อมูลก็ไม่ต้องปวดหัวกับการเฝ้าดูแลหรือต้องคอยเปลี่ยนชิ้น ส่วนที่ถึงอายุต้องโอนย้ายที่เพื่อเปลี่ยนแปลงใหม่ ผู้ใช้งานข้อมูลหรือแอพพลิเคชันก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่าง การดำเนินการ เรียกว่ายังใช้งานไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำ ให้การผลิตก็ไม่ต้องหยุด การแบ็คอัพข้อมูลทำได้รวดเร็วอาจเพียงแค่ 30 นาทีแทนที่จะเป็น 6 ชั่วโมง จะจัดการเปลี่ยนจัดตำแหน่งการจัดเก็บเสียใหม่ก็ทำได้แทบจะทันที ทำให้เราไม่ต้องมีช่วงเวลาดาวน์เซิร์ฟเวอร์เพื่อจัดการสิ่งเหล่านั้น ทำให้อัตราส่วนการใช้งานของสินทรัพย์นั้นมีความคุ้มค่ามากขึ้น บางแห่งสามารถเพิ่มอัตราส่วนการใช้งานได้จากระหว่าง 25-50 เปอร์เซ็นต์ไปเป็นถึง 75 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวหลังจากใช้งานเจ้าเทคโนโลยี Storage virtualization นี้
รูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งสี่
ใน การประกอบใช้งาน SAN แบบเสมือนนั้นทำได้ด้วยกัน 4 แบบประกอบไปด้วย in-band appliances, out-of- band appliances, แบบไฮบริดลูกครึ่งที่เรียกชื่อว่า SPAID (Split Path Architecture for Intelligent Devices) และ controller- based virtualization ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบใดๆ โซลูชัน storage virtualization ทั้งหมดจะต้องทำสิ่งพื้นฐาน 3 สิ่งเสียก่อนนั่นคือ 1.) สร้างแผนที่เสมือนของดิสก์และหน่วยความจำจริงขึ้นมา ซึ่งเหมือนกับการตั้งค่า metadata 2.) ส่งคำสั่งสำหรับที่จะให้เกิดการตั้งค่าที่เปลี่ยนไปและงานการจัดการหน่วย ความจำ และสุดท้ายแน่นอน 3.) ย้ายข้อมูลระหว่างโฮสต์และหน่วยความจำที่ต้องการ สถาปัตยกรรมทั้ง 4 นั้นก็แค่แตกต่างกันในวิธีการดำเนิน 3 กระบวนการนี้เท่านั้น ต่างกันตรงการควบคุม Metadata และพาธข้อมูลในการทำงานกับ I/O
ความ ต่างดังกล่าวนั้นเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เรื่องประสิทธิภาพหรือความยืดหยุ่น ในแง่ของขนาดของงาน in-band appliance ทำทั้งหมดในอุปกรณ์เดียวกัน ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ การจัดการ Metadata และฟังก์ชันที่ใช้ควบคุมการทำงานนั้นใช้พาธร่วมกัน ซึ่งเมื่อรู้ดังนี้แล้วจะเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดคอขวดสำหรับระบบ SAN ที่ค่อนข้างซับซ้อนเพราะว่าคำสั่งที่ร้องขอเข้ามาจากทุกโฮสต์จะต้องผ่านจุด ควบคุมจุดเดียวกันหมด เวนเดอร์ที่ทำ In-band appliance เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวนี้จึงได้เพิ่มคลัสเตอร์พิเศษและให้ความสามารถของ หน่วยความจำแคชเพิ่มเข้าไปยังผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ทำให้เวนเดอร์เหล่านี้สามารถพูดกับองค์กรใหญ่ๆที่ใช้งานระบบ SAN ว่าโซลูชันของพวกเขานั้นมีดีในเรื่องประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสำหรับงาน ขนาดใหญ่มากกว่า ตัวอย่างของ In-band appliance ก็มี อาทิ DataCore SANsymphony, FalconStor IPStor, และ IBM SAN Volume Controller ส่วน out-of-band appliance นั้น แยกเอาการจัดการ Metadata และส่วนควบคุมการทำงานออกจากพาธข้อมูล แยกโหลดการทำงานดังกล่าวออกไปไว้ที่อีกเอนจิ้นหนึ่ง ส่วนที่อาจเรียกได้ว่าเป็นข้อที่ไม่ค่อยสะดวกก็คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้วิธีนี้จะต้องติดตั้งตัวแทนของซอฟต์แวร์อยู่ในทุกโฮสต์ที่ ใช้งานอยู่ด้วย หน้าที่ของเจ้าตัวแทนนั้นก็คือเพื่อรับเอา Metadata และคำสั่งควบคุมมาจากสายข้อมูลเพื่อส่งต่อไปให้กับ out-of-band appliance เพื่อนำไปประมวลผลต่อปล่อยให้โฮสต์มุ่งเน้นแต่การทำงานส่งถ่ายข้อมูลกับ หน่วยความจำ เวนเดอร์เพียงรายเดียวที่ให้บริการรูปแบบนี้อยู่ก็คือ LSI Logic จากการเทคโอเวอร์ StoreAge มาอีกที โดยผลิตภัณฑ์ของ StoreAge นั้นสามารถที่จะปรับการทำงานได้ทั้งกับรูปแบบของ out-of-band หรือ SPAID
ระบบ SPAID นั้นไปควบคุมระหว่างความสามารถในการทำงานระดับพอร์ตของอุปกรณ์สวิตชิ่งที่ ชาญฉลาด ลดโหลดของการจัดการ Metadata หรือข้อมูลการควบคุมการสั่งงานต่างๆ ออกจากพาธข้อมูล ไม่เหมือนวิธี out-of-band appliance ตรงที่พาธจะถูกแยกตั้งแต่ที่โฮสต์เลย แต่ของ SPAID นั้นจะมาถูกแยกพาธบนเครือข่าย บนอุปกรณ์อัจฉริยะอย่างสวิตซ์สักตัวหนึ่ง SPAID system นั้นส่งต่อ Metadata และข้อมูล Control path ไปยังเอนจิ้นของ out-of-band เพื่อประมวลผลและส่งพาธข้อมูลผ่านไปยังอุปกรณ์หน่วยความจำ ระบบ SPAID ตัดทิ้งความจำเป็นของตัวแทนในระดับโฮสต์ทิ้งไป โดยทั่วไปซอฟต์แวร์ Virtualization ที่มีพื้นฐานแบบ SPAID นั้นจะทำงานอยู่ในสวิตช์อัจฉริยะหรือ PBA (purpose built appliance) รายชื่อเวนเดอร์ในกลุ่มนี้นั้นได้แก่ EMC (Invista), Incipient และ LSI Logic (StoreAge) คอนโทรลเลอร์ SPAID แต่ละรายจะต้องทำงานร่วมกับสวิตซ์อัจฉริยะจากเวนเดอร์อย่าง Cisco Systems หรือ Brocade/McData
Array controllers กลายเป็นเลเยอร์พื้นฐานที่บริการ Virtualization ถูกใช้งาน อย่างไรก็ตามคอนโทรลเลอร์นั้น โดยทั่วไปจะมีการทำเสมือนเพียงกับตัวดิสก์จริงๆ ภายในระบบหน่วยความจำเท่านั้น แต่ความจริงอันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงไปจากคอนเซ็ปต์เดิมดังกล่าวก็เพื่อให้ทำ Virtualization บนคอนโทรลเลอร์ได้ทั้งส่วนนอกและภายในระบบเก็บข้อมูล เช่นเดียวกับ in-band appliance นั่นคือพาธทั้งสาม ข้อมูล ส่วนควบคุม และ metadata ตัวอย่างของ Virtualization ที่ใช้การทำงานบนคอนโทรลเลอร์เป็นรูปแบบสไตล์ใหม่อันนี้นั้น ก็มีอาทิ HDS TagmaStore Universal Storage Platform การแข่งขันระหว่างเวนเดอร์ทั้งหมดนั้นทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ SPAID ก็มีความคาดหวังค่อนข้างมากในเรื่องของความยืดหยุ่นในเชิงขนาดของงาน แต่ตัวผลิตภัณฑ์เองนั้นก็ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ณ จุดนั้น โดยที่ EMC นั้นหนุนหลัง in-band solutions ทั้งในส่วนของฟีเจอร์และฟังก์ชันการใช้งาน และแม้ว่า IBM จะดูยังไม่เท่าทันกับเจ้าอื่นๆ นักหากเทียบระหว่างฟีเจอร์และฟังก์ชัน แต่พวกเขาก็ยังสามารถทำได้มากกว่านั้นอีกมาก แต่โดยสรุปแล้วเวนเดอร์เกือบทั้งหมดก็มีคุณสมบัติพื้นฐานครบถ้วน เพียงแค่อาจจะขาดคุณสมบัติขั้นสูงต่างๆ ไปบ้างเท่านั้น
File Virtualization
แค่ เพียง block virtualization ก็สามารถช่วยให้การจัดการระบบ SAN ง่ายยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันที่ file virtualization ก็ลดละเลิกความซับซ้อนและข้อจำกัดในองค์กรจากระบบ NAS ไปได้เช่นเดียวกัน เราต่างก็รู้ว่าเมื่อวอลุ่มข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างจัดระเบียบเอาไว้ดีนัก เกิดความเสียหายขึ้นมา ทางหน่วยงานไอทีเองก็มีโอกาสมองเข้าไปหรือจัดการดูแลก้อนข้อมูลนี้น้อยมาก เรื่องทำนองนี้นั้น file virtualization มีทางออก โดยจะมีการจัดการระบุตำแหน่งบนไฟล์เซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ NAS สร้าง Namespace ให้กับเจ้าอุปกรณ์จริงๆ เหล่านั้น ซึ่ง Namespace นั้นก็เป็นเพียงชื่อเรียกที่อ้างถึงลำดับความสำคัญเป็นโครงสร้างของไดเรคทอ รี ไฟล์และ Metadata ที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้วหากจะพูดถึงในระบบไฟล์มาตรฐานอย่าง NTFS แล้ว Namespace ก็จะเกี่ยวเนื่องอยู่กับเรื่องราวในเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือระบบไฟล์ระบบเดียว เมื่อทำแบบเดียวกันกับหลายระบบไฟล์หรือหลายเครื่อง สิ่งที่ File virtualization ทำได้ก็คือภาพๆ เดียวกันเพื่อบอกตำแหน่งของไฟล์และไดเรคทอรี ผู้ดูแลระบบหรือแอดมินก็จะมีจุดควบคุมดูแลการทำงานเพียงจุดเดียวพอ ข้อดีของมันนั้นอาจจะดูคุ้นๆ กันอยู่บ้าง ก็เช่นเดียวกับ Storage virtualization ความสามารถในการโยกย้ายไฟล์ข้อมูลโดยปราศจากความเสียหาย ผู้ดูแลระบบสามารถที่จะทำแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ NAS ได้เป็นประจำหรือจะยกเลิกการใช้งานอุปกรณ์เก่าๆ บางตัวโดยไม่รบกวนการทำงานของยูสเซอร์หรือแอพพลิเคชันต่างๆ
File virtualization นั้นเมื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีคลัสเตอร์ก็สามารถขยายประสิทธิภาพและขนาดการ ทำงานได้อีกมากเช่นกัน คลัสเตอร์ของ NAS สามารถให้ทรูพุธ (MBps) ในหลายรูปแบบที่เร็วกว่า รวมถึง IOPS ก็จะดีกว่า NAS ตัวเดียวเช่นเดียวกัน แอพพลิเคชันที่ใช้ความสามารถในการคำนวณสูงๆ อย่างเช่น การทำเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอหรือแบบจำลองการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มักจะใช้ เทคโนโลยี File virtualization นี่แหละในการเข้าถึงข้อมูลมหาศาลในการทำงาน
สามสถาปัตยกรรมในการทำงาน
File virtualization ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นก็เหมือนกรณีทั่วๆ ไปล่ะนะครับว่า วิธีการที่แตกต่างกันไปในเวนเดอร์แต่ละรายนั้นก็มักจะเหมาะกับการใช้งานที่ แตกต่างกันออกไป ไม่มีวิธีของใครที่จะดีไปเสียหมดกับทุกงาน พูดแบบกว้างๆ ว่าเราสามารถแบ่งกลุ่ม File virtualization ในท้องตลาดได้ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ Platform-integrated namespaces, clustered-storage derived namespaces และ network-resident virtualized namespaces
Platform-integrated namespaces นั้นเป็นส่วนขยายของระบบโฮสต์-ไฟล์ที่ให้ความสัมพันธ์ของคอนเซ็ปต์ไฟล์เป็น กลางๆ ในแต่ละแพล็ตฟอร์มที่แตกต่างกันไประหว่างเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัว namespaces รูปแบบนี้เหมาะสมที่จะใช้กับการทำงานหลายๆ ไซต์ร่วมกัน แต่มันอาจจะไม่ได้มีระบบควบคุมไฟล์ที่ลงลึกนัก และแน่นอนว่าการทำงานอยู่บนระบบไฟล์หรือระบบปฏิบัติการแบบเดียว ตัวอย่างที่มีก็มี อาทิ Brocade StorageX, NFS v4 และ Microsoft Distributed File System (DFS)
Clustered-storage derived namespaces ระบบคลัสเตอร์เก็บข้อมูลนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างระบบคลัสเตอร์กับ เทคโนโลยีระบบไฟล์ขั้นสูง เพื่อสร้างให้เกิดส่วนขยายแบบโมดูลสำหรับทุกวอลุ่ม NFS และ CIFS ที่เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ของระบบคลัสเตอร์แบบนี้นั้นจะให้ Namespace เดียวกันตลอดทั้งคลัสเตอร์ทั้งหมด Clustered storage systems นั้นเหมาะสมกับแอพพลิเคชันประสิทธิภาพสูงอย่างที่สุด ทั้งยังช่วยรวบรวมไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ให้เป็นหนึ่งเดียว และระบบก็มีความมั่นคงสูง เวนเดอร์ในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย Exanet, Isilon, Network Appliance (Data ONTAP GX) และ PolyServe
Network-resident virtualized namespaces นั้นถูกสร้างขึ้นโดยอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน (มักจะถูกอ้างถึงในฐานะไฟล์เมเนเจอร์ของเครือข่าย) ที่ทำงานอยู่ระหว่างลูกข่ายและอุปกรณ์ NAS โดยพื้นฐานก็จะทำหน้าที่เราเตอร์หรือสวิตซ์ที่ดูแลการทำงานโปรโตคอลระดับ ไฟล์ อุปกรณ์เหล่านี้สร้าง Namespace เสมือนระหว่างไฟล์เซิร์ฟเวอร์ในการทำงานส่วนหลังและหาเส้นทางของการจราจร NFS และ CIFS ทั้งหมดระหว่างลูกข่ายกับหน่วยความจำ คุณสามารถเลือกอุปกรณ์ NFM เพื่อใช้งานได้ทั้ง In band (Acopia Networks, Attune Systems, NeoPath Networks) หรือ out of band (EMC Rainfinity) Namespace ในรูปแบบของ Network-resident virtualized นั้น เหมาะกับการทำงานกับหน่วยความจำแบบระดับชั้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับกรณีที่ต้องการการถ่ายข้อมูลแบบที่ไม่สร้างความ เสียหายแก่ข้อมูล Storage virtualization แบบไฟล์และบล็อกนั้นอาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะปรับปรุงรักษาบาดแผลจากการ จู่โจมของข้อมูลมหาศาลในปัจจุบัน
ด้วย Virtualization แบบบล็อกและไฟล์นั้นทำให้ชาวไอทีสามารถมีการจัดการที่คุ้มต้นทุน นำเอานโยบายกระจายจากส่วนกลางได้ตามต้องการและควบคุมระบบเก็บข้อมูลที่แตก ต่างกันไว้ได้ในคราวเดียวอีกด้วย แม้ว่าหนทางในการนำไปใช้งานจะยังอีกยาวไกลและยากลำบากก็ตาม แต่ตัวเทคโนโลยีก็พร้อมตอบสนองต่อความต้องการได้แล้ว เพียงแต่อาจจะต้องรอกันอีกสักหน่อย
Application and Desktop Virtualization
Virtualization นั้นไม่ได้มีแต่เพียงสำหรับศูนย์ข้อมูลไว้ใช้งานเพียงเท่านั้น สำหรับเวิร์กสเตชันที่ซับซ้อนที่สุดไปจนถึงไฟล์ DLLs ที่ง่ายที่สุด virtualization ก็มีประโยชน์ในการคำนวณผ่านเครือข่ายอย่างไม่อาจมองข้าม ตัวอย่างที่ดีของคำกล่าวนี้ก็คือ virtualization ของงานแอพพลิเคชันหรือ application virtualization นั่นเอง ไอเดียเบื้องหลังเจ้านี่ก็เกิดจากความต้องการตัดปัญหาการตั้งค่าที่วุ่นวาย ทั้งหลายจากฝ่ายสนับสนุนที่มักจะพบเจอเป็นประจำสำหรับผู้ใช้งานเดสก์ทอปทั่ว ไป ผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้จะสร้างโลกเสมือนระหว่างโปรแกรมที่ใช้งานกับระบบปฏิบัติ การเหมือนกับกรณีระบบจัดการไฟล์หรือสำหรับวินโดวส์ก็คือ ระบบฐานข้อมูลรีจิสทรีนั่นเอง ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่จะกล่าวถึงนั้นแยกแอพพลิเคชันออกจากภาพเงาของระบบ ปฏิบัติการตามวิธีการของตัวเอง
Application Acrobatics
เวน เดอร์ที่พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบนี้ก็อย่างเช่น Altiris Software Virtualization Solution (SVS) ซึ่งใช้วิธีที่อาจจะดูดั้งเดิมไปบ้าง เริ่มจากไดรเวอร์ตัวกรองง่ายๆ จะถูกติดตั้งลงไปในระบบไฟล์ของวินโดวส์เพื่อติดต่อประสานงานและจัดการ อินพุท-เอาท์พุทให้กับตัวจัดการแอพพลิเคชันของ SVS เมื่อจัดตั้งเลเยอร์ขึ้นมาได้ก็จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่าง SVS กับ OS ซึ่งในความเป็นจริงนั้นทุกๆ กิจกรรมที่แอพพลิเคชันกับระบบปฏิบัติการติดต่อกันตั้งแต่โหลด DLL เพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่รีจิสทรีจะถูกเปลี่ยนผ่านไปยังไฟล์จัดการแคชของ SVS แทน ข้อดีของการทำงานในลักษณะนี้ก็คือ การแยกเป็นอิสระของระบบปฏิบัติการกับแอพพลิเคชัน อะไรก็ตามที่แอพพลิเคชันสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นต่อรีจิ สทรีหรือไฟล์ของมันเองหรือต่อระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็ตามอันที่จริงเกิด ขึ้นบนแค ชของ SVS แทน ในเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงๆ สภาพของระบบปฏิบัติการตัวจริงก็ยังสมบูรณ์อยู่พร้อมที่จะถอดเอาแอพพลิเคชัน นั้นออกได้ง่าย จากการกดปุ่มหรือยกเลิกผ่านรีโมททางไกลเลยก็ยังได้ แต่ก็ข้อบกพร่องเช่นเดียวกันนั่นคือ อาจจะเกิดปัญหาในการจัดการกับเวอร์ชันที่แตกต่างกันหลายๆ เวอร์ชันแม้ว่าจะเป็นแอพพลิเคชันตัวเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้งานไมโครซอฟท์ออฟฟิศ บางครั้งอาจสร้างปัญหาให้กับระบบ SVS ให้เรียกใช้งานเวอร์ชันที่ผิดๆ ถูกๆ หากมีหลายเวอร์ชันติดตั้งไว้ในหลายๆ เลเยอร์
อีกทางเลือกหนึ่งซึ่งค่อนข้างสุดขั้วจากผู้ผลิตอย่าง SoftGrid ของ Softricity (พึ่งจะโดนเทคโอเวอร์ไปโดยไมโครซอฟท์เมื่อเร็วๆนี้ และจะถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแพล็ตฟอร์ม Windows Server) SoftGrid เตรียมสภาวะที่สมบูรณ์ในการใช้งานเสมือน แล้วแอพพลิเคชันจะถูกส่งไปยังเครื่องลูกข่ายเพื่อให้ใช้งานและทำงานภายใน “Sandbox” ที่จะแยกเอาโค้ดของแอพพลิเคชันออกจากระบบปฏิบัติการอย่างเด็ดขาด ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราสามารถแก้ปัญหาเวอร์ชันหลากหลายที่จะสร้างปัญหาให้กับ SVS ไปได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่แลกมาก็คือ กระบวนการเริ่มติดตั้งใช้งานที่ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ดูแลระบบจะต้องสร้างอิมเมจของการติดตั้งเป็นการเฉพาะขึ้นเพื่อปรับสภาวะ ของโค้ดในการใช้งานแอพพลิเคชันผ่าน Streaming
แน่นอนว่าไม่มีส่วนการ ตลาดส่วนใดส่วนหนึ่งที่สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด Thinstall รวมเอาเรื่องความง่ายในการใช้งานของ SVS กับแนวคิดแบบกล่องจาก SoftGrid เข้าด้วยกัน โดยการฝังเอาทั้งสภาพแวดล้อมเสมือนและอิมเมจของแอพพลิเคชันเข้าไว้ด้วยกันใน ไฟล์นามสกุล EXE Thinstall ตัดเอาส่วนสนับสนุนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานออกไป แค่เพียงทำสำเนาหรือส่ง Stream ไฟล์ไปยังลูกข่ายแล้วก็สั่งให้ทำงานเพียงเท่านั้น ไม่ต้องมีตัวแทนมาจัดการใดๆ สำหรับไฟล์อิมเมจก็สามารถส่งต่อและใช้งานแบบเสมือนจริงได้ด้วยโปรแกรมจัดการ ระบบทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Active Directory และ Microsoft Systems Management Server ข้อด้อยเพียงเล็กน้อยก็คือ การต้องปรับแต่งแอพลิเคชันที่ใช้งานผ่านระบบเสมือนของ Thinstall เสียก่อนเท่านั้น
การใช้งานเสมือนแบบคลาสสิคดั้งเดิม
ใน สถานการณ์ของลูกข่ายหลายกรณีโซลูชันเสมือนแบบลงลึกก็มีความจำเป็น อาทิ การมีแอพพลิเคชันดั้งเดิมทำงานบนระบบปฏิบัติการตัวใหม่ กรณีนั้นอาจเป็นการดีที่สุดที่จะแยกเอาแอพพลิเคชันไปไว้ในสภาพแวดล้อมการทำ งานของระบบปฏิบัติการแบบเสมือนให้สมบูรณ์ที่สุด หรือนั่นคือการใช้ “virtual machine” แบบคลาสสิคดั้งเดิมนั่นเอง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้สามารถรันแอพพลิเคชันบนอิมเมจของระบบ ปฏิบัติการที่คุณเลือกใช้งาน ในขณะที่ยังสนับสนุนให้มีการโอนย้ายข้อมูลได้อยู่กับแพล็ตฟอร์ม OS ตัวใหม่หรือที่ไม่คอมแพททิเบิลกัน VMware และไมโครซอฟท์เป็นผู้นำในตลาดส่วนนี้ โดยมีทาง VMware ที่อาจจะดูเด่นกว่าสักเล็กน้อยและเป็นผู้นำแนวความร่วมมือของเวนเดอร์สนับ สนุนให้มีการใช้งาน Virtualization เป็นโซลูชันสำหรับเดสก์ทอปหรือดูแลจัดการแอพพลิเคชัน สำหรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีซีพียูหรือฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ อย่างการประมวลผล 64 บิตก็ทำได้ดีเช่นกัน ข้อดีเป็นพิเศษของ VMware อย่างความสามารถในการทำสแน็ปช็อตเก็บภาพสถานะเอาไว้แล้วเรียกกลับคืนได้ใน ภายหลังก็เป็นที่ชื่นชม สุดท้ายแล้วดูเหมือนตอนนี้สิ่งที่ VMware ได้เคยลงทุนไว้ก็เริ่มผลิดอกออกผลแล้ว โครงการอย่าง VMware Player ที่เป็นทูลส์แสตนด์อะโลนสำหรับโฮสต์ VM ที่สร้างขึ้นมาโดย VMware สำหรับทำงานบนเดสท็อปวินโดวส์ หวังให้ไฟล์อิมเมจเป็นมาตรฐานส่งต่อการทำงานของแอพพลิเคชันที่เป็นไปได้
ไมโครซอฟท์ ก็กำลังดำเนินการไม่แตกต่างกัน เริ่มต้นจากคู่แข่งของ VMware ที่รู้จักกันในนาม Virtual PC ตั้งแต่มันยังเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Connectix ได้ถูกนำมาอัพเดตเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเจ้า Virtual PC 2007 เพิ่มการสนับสนุนวินโดวส์วิสต้าในฐานะระบบปฏิบัติการที่เป็นโฮสต์ แต่ส่วนอื่นก็เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก และยังคงไม่สนับสนุนการทำงานกับการคำนวณขนาด 64 บิต ทั้งยังตามหลัง VMware Workstation ในบางส่วนอย่างเช่น การทำงานร่วมกับอุปกรณ์ USB ผู้เล่นไร้อันดับรายหนึ่งในสมการของ VM ก็คือ Citrix Systems ซึ่งเป็นผู้เล่นที่มีนัยสำคัญในแวดวงการคำนวณหรือประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ Citrix นั้นวางภาพตนเองเป็นผู้บุกเบิกแอพพลิเคชันเสมือน หากมองลงไปลึกๆ แล้ว คุณจะมองภาพออกถึงการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่บวกกับภาพของแอพพลิเคชันเสมือน และ Streaming solution คล้ายๆ กับของทาง SoftGrid ความสำเร็จจากกลยุทธของ Citrix นี้จะบ่งบอกถึงความสามารถในการทำงานในฟังก์ชันนี้ถูกเรียกขานกันในนาม โครงการ Tarpon อันประกอบด้วยโพรโตคอลและพรีเซ็นเทชันเลเยอร์จำนวนมากรวมกันออกมาเป็นลำดับ ชั้นของ Citrix ซึ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Presentation Server ในเดือนมีนาคมนี้ ที่น่าสนใจก็คือ สิ่งที่ทาง VMware ได้เรียนรู้หนึ่งถึงสองสิ่งจากประสบการณ์ของ Citrix
มีจุดที่น่าเป็น ห่วงอยู่หลายจุดที่ทำให้การคำนวณโดยเซิร์ฟเวอร์ดูด้อยลง การสนับสนุนฮาร์ดแวร์พื้นฐานบนเครือข่ายที่ค่อนข้างแย่ การใช้งานจำกัดในแง่พื้นที่ ต้องการฮาร์ดแวร์ที่ค่อนข้างมีสมรรถนะสูงในการทำงานส่วนหลัง ทุกสิ่งได้ถูกนำเสนอและบางทีการเริ่มใช้งาน Virtual Desktop แทนที่จะโฮสต์เซสชันของยูสเซอร์ผู้ใช้งานหลายๆ คนบนอิมเมจของ Terminal Server เดียว แต่คุณกำลังเสมือนหนึ่งโฮสต์ Terminal Server หลายตัวพร้อมกันด้วยแต่ละยูสเซอร์ที่เชื่อมต่อด้วย RDP (Remote Desktop Protocol) ขนาดของงานที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างน่าตกใจ อาจจะต้องใช้ฮาร์ดแวร์เสมือนสัก 10 ตัวเทียบกับการคำนวณโดยเซิร์ฟเวอร์ในการสนับสนุนการทำงานนี้ แต่เมื่อ Citrix ได้จัดการตัวเองเสียใหม่ในฐานะผู้นำของ Virtualization เลเยอร์ VDI อย่าง Wyse และ Neoware และโพรโตคอลอย่าง RDP และ ICA (Independent Computing Architecture) ต่างก็เริ่มมองหาชีวิตใหม่ ซึ่งพวกเขาอาจจะหามันเจอหรือไม่คงต้องดูกันต่อไป
บนถนนเสมือนเบื้องหน้า
อาจ จะกล่าวได้ว่ากลุ่มของผลิตภัณฑ์นี้นั้นเติบโตเต็มที่พร้อมใช้งาน ในกรณีของ Virtualization ของเดสก์ทอปหรือแอพพลิเคชัน การเกิดขึ้นของโซลูชันสนับสนุนอย่าง Managed Workspace ของบริษัท Kidaro แสดงให้เห็นแล้วว่าส่วนแบ่งตลาดส่วนนี้เกิดขึ้นได้แล้วจริงๆ ทาง Kidaro นำเสนอการทำงานร่วมกับพีซีเสมือนของทั้งฝั่ง VMware หรือไมโครซอฟท์ สำหรับโฮสต์แอพพลิเคชันแบบคลาสสิคของ VMware จะมีการเพิ่มเลเยอร์เข้าไปร่วมทำงานกับโฮสต์ OS ซึ่งเป็นการลบเส้นแบ่งระหว่างเดสก์ทอปและแอพพลิเคชันเสมือนให้เหลือน้อยลง SoftGrid ก็มีตัวอย่างที่ได้ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์แอกทีฟไดเรคทอรีไปแล้ว หลังจากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คงจะเป็นการอัพเดตการเป็นลูกข่าย SoftGrid ลงไปยังเวอร์ชันอัพเดตถัดไปของเดสก์ทอปวินโดวส์เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ออกมาในรูปแบบของเซอร์วิสแพ็กแบบที่ไมโครซอฟท์มักจะใช้ นับเป็นอีกความน่าตื่นเต้นอันหนึ่งของการก้าวเข้าสู่โลกใหม่เสมือนจริง
3 รูปแบบของ Server Virtualization
สำหรับ server virtualization แล้ว hypervisor ทำงานเป็นเสมือนโฮสต์ OS ที่เหตุการณ์ และมี Guest OS รวมทั้งแอพพลิเคชันทำงานบนเครื่องจักรเสมือนของตัวมันเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ งานที่ได้รับมากขึ้นจากเซิร์ฟเวอร์เพียงตัวเดียวเหมือนเดิม ประสิทธิภาพของการตอบสนองก็ดีขึ้นด้วย
Full VirtualizationHypervisor สามารถรันเหตุการณ์เสมือนบนระบบปฏิบัติการหลายๆระบบพร้อมกันได้ เซิร์ฟเวอร์เสมือนไม่ต้องสนใจรับรู้ว่ามันกำลังทำงานบนสภาพแวดล้อมเสมือน อยู่
Para-Virtualizationแบบนี้เป็นเวอร์ชัน ที่ระบบปฏิบัติการ ถูกดัดแปลงเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ Hypervisor ยกระดับประสิทธิภาพการทำงานขึ้นไปอีกระดับ
OS Parititioningใน กรณีนี้เซิร์ฟเวอร์เสมือนยังคงทำงานแยกกันอยู่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ทั้งหมดทำงานบนระบบปฏิบัติการเดียวกัน พร้อมทั้งมี Hypervisor ติดตั้งอยู่ภายใน
ประโยชน์ 3 ประการของ Storage Virtualization
Storage virtualization สร้างเลเยอร์ระหว่างโฮสต์และหน่วยเก็บข้อมูล กรองความเป็นตัวตนแยกกันของแต่ละอุปกรณ์ออกไป สร้างพูลของหน่วยความจำเสมือนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแทน
ทำ Provisioning หน่วยเก็บข้อมูลได้ง่ายดาย
ดิสก์ เสมือนสามารถถูกสร้าง เปลี่ยนแปลงขนาดและจ่ายให้กับโฮสต์ภายในเวลาเพียงไม่กี่เศษเสี้ยวนาที นั่นก็คือเวลาเพียงเล็กน้อยเวลาเราทำ provision อุปกรณ์นั่นเอง
การย้ายข้อมูลโดยไม่มีความเสียหาย
แม้ ว่าสิ่งที่ดีที่สุดของ storage virtualization ก็คือ ความสามารถในการโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามายังเครื่องใหม่ หรือแม้แต่ระหว่างอุปกรณ์ใหม่ด้วยกันเองได้โดยไม่ต้องปิดระบบการทำงานหรือ ตัดการเชื่อมต่อของยูสเซอร์หรือแอพพลิเคชัน
การจัดการ Storage ที่ง่ายยิ่งขึ้น
Virtualization นำเอาจุดจัดการแบบรวมศูนย์และกลุ่มของบริการมาตรฐานเพื่อจะรวบรวมกลุ่มของ อุปกรณ์หน่วยความจำทั้งหลายและทำให้งานอย่างการทำ Mirror หรือ Replication ง่ายขึ้น
สามวิธีการในการทำ Application Virtualization
โซ ลูชั่นของ Altiris ไมโครซอฟท์และ Thinstall สร้างปฏิสัมพันธ์เสมือนระหว่างแอพพลิเคชันของวินโดวส์และทรัพยากรสนับสนุน ของระบบปฏิบัติการแยกมันออกจากโฮสต์และแอพพลิเคชั่นอื่นๆ
Altiris SVS
Altiris SVS ใช้การแทรกการทำงานของส่วนอินพุทเอาท์พุทเพื่อนำการร้องขอจากกระบวนการที่ทำ งานอยู่ทั้งหมด ทำการวิเคราะห์เพื่อระบุว่าคำร้องขออันใดควรจะส่งต่อไปให้กับแคชของระบบ เสมือน
SoftGrid จากไมโครซอฟท์
Microsoft SoftGrid จำกัดการรีไดเรคชันมอนิเตอร์ไปยังกระบวนการเสมือนซึ่งบริหารจัดการด้วยเอ เจ้นคอมโพเนนท์ใน user mode และ agent mode
Thinstall
Thinstall ตัดเอาโลคอล OS ออกไปจากสมการเสียเลย โดยการฝังเอาลอจิกของ Virtualization ไว้ในไฟล์เอ็กซีคิวของแอพพลิเคชันที่แพ็กขึ้นมาใหม่
ผู้เชี่ยวชาญการทำ Server Virtualization
ผู้ เล่นรายหลักๆ ในท้องตลาดได้แก่ BMC, computer associates, HP, microsoft, Sun, and Unisys ที่ต่างก็มีโซลูชันการจัดการเครื่องจักรเสมือนของตนเอง รายชื่อเวนเดอร์ด้านล่างนี้มีการติดตั้ง server virtualization ภายในบริษัท ในขณะที่บางส่วนเคยมีแบ็กกราวนด์ในการทำ Automation ของศูนย์ข้อมูล
Cassatt เป็นส่วนหนึ่งของแพล็ตฟอร์ม Collage Cross-Virtualization Manager ให้คุณจัดการแบ่งสัดส่วนของทรัพยากรได้แบบไดนามิกผ่าน VMware และ Xen virtual servers สนับสนุนไมโครซอฟท์ Virtual Server ที่จะเปิดตัวในไม่ช้า
Enigmatec เจ้าของ Execution Management System ที่รวมเอากระบวนการอัตโนมัติบวกกับการจัดการตามนโยบายที่ตั้งเอาไว้ เพิ่มด้วยชุด Virtual Environment Automation และคุณยังทำ image provisioning และ control เสมือนได้โดยอัตโนมัติ
Enomaly ภายใต้ไลเซ็นต์แบบโอเพ่นซอร์ส Enomalism มีเครื่องมือสำหรับมอนิเตอร์และจัดการระบบเสมือนสำหรับ Hypervisor ของ Xen ด้วยคอนโซลเสมือนในการจัดการกับเซิร์ฟเวอร์เสมือนหลายๆ ตัว
Leostream เครื่องมือ P>V physical-to-virtual สำหรับจัดการการโอนย้ายข้อมูล สนับสนุนทั้งวินโดวส์ในด้านของต้นทางและทั้ง VMware GSX และ ESX Server เช่นเดียวกับ Microsoft’s Virtual Server ในฝั่งเป้าหมาย
Opalis รัน Book Automation Software สำหรับงานดูแลบำรุงรักษาศูนย์ข้อมูลโดยอัตโนมัติ ทำงานร่วมกับ VMware Virtual Center สามารถทำงานได้ทุกอย่างตั้งแต่ provision มอนิเตอร์ แบ็คอัพและกู้ข้อมูลจาก Microsoft Virtual Server virtual machines
Opsware บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านศูนย์ข้อมูลออโตเมชั่นนำเสนอ Server Automation System ที่ทำ provision มอนิเตอร์ และจัดการ VMware ESX โปรแกรมเสมือน และ Solaris Containers นอกเหนือจากเซิร์ฟเวอร์จริงๆ
PlateSpin Power Convert สามารถดูแลการโอนย้ายข้อมูลแบบอัตโนมัติจากเซิร์ฟเวอร์วินโดวส์และลีนุกซ์ ไปยัง virtual VMware และ Microsoft Virtual Server รวมถึงสนับสนุนการคอนโซลิเดตข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์และกู้ข้อมูลฉุกเฉิน
Scalent นับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทสำหรับ Virtual Operating Environment ที่จะทำให้คุณโยกย้ายกิจกรรมระหว่างเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างไร้ขอบเขต แม้แต่ในกลุ่มแพล็ตฟอร์มเสมือนและทำงานได้ในขณะเดียวกับที่เครือข่ายยังทำ งานอยู่ การเชื่อมต่อของ iSCSI และไฟเบอร์ชาแนลยังทำงานเป็นปกติ
Surgient มี Virtual QA/Test Lab Management System จัดการการตั้งค่าที่ซับซ้อนมากๆบนเครื่องจักรเสมือน ทั้งยังมีหลักสูตรอบรมให้กับลูกค้าอีกด้วย
SWsoft เจ้าของ Virtuozzo โซลูชันระบบปฏิบัติการเสมือนพิเศษรายเดียว ด้วยการจำลองฮาร์ดแวร์ด้วยโซลูชันการพาร์ทิชัน OS นั้นทำให้คุณสามารถจัดการกับวินโดวส์หรือลีนุกซ์จำนวนมากได้บนเครื่องจักร เสมือน
Virtual Iron แพล็ตฟอร์มบริหารจัดการสำหรับ Xen hypervisor ของระบบโอเพนซอร์ส ทางบริษํทนั้นแข่งขันโดยตรงกับคู่แข่งอย่าง VMware หรือ XenSource โดยมีทูลส์อย่าง LiveMigration, LiveRecovery และ LiveCapacity
Vizioncore เป็นที่รู้จักกันดีจาก esxRanger ซอฟแวร์แบ็คอัพ แต่ทางบริษัทเองก็มีผลิตภัณฑ์ช่วยโอนย้ายข้อมูล ทำสำเนาข้อมูลและบริหารจัดการข้อมูลอยู่อีกด้วย
VMware ยังคงเป็นผู้นำสำหรับ VMware Infrastructure 3 ชุดผลงานที่รวมเอา ESX Server, Virtual-Center ในการจัดการ, VMotion สำหรับย้ายข้อมูลและอีกมากมาย
XenSource จากคนเดียวกับที่เป็นเจ้าของโครงการโอเพ่นซอร์ส Xen hypervisor project นั่นเอง XenEnterprise นั้นเป็นเวอร์ชันสำหรับการพาณิชย์ที่สนับสนุนทั้งวินโดวส์และลีนุกซ์
เวนเดอร์ของผลิตภัณฑ์แอพพลิเคชันและเดสท็อปเสมือน
เนื่อง จากเรากำลังคุยกันเรื่อง Virtualization ทุกวันนี้แอพพลิเคชันต่างๆ นั้นไม่จำเป็นต้องติดตั้งลงบนพีซีตั้งโต๊ะ เนื่องจากเราสามารถส่งมอบให้ใช้งานกันได้ในฐานะเครื่องลูกข่าย โซลูชันฮาร์ดแวร์ Blade และ Thin Client ที่เวนเดอร์ต่างเตรียม VMware DI (Virtual Desktop Infrastructure) และโซลูชั่นอื่นๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ClearCube Technology, ฟูจิตสึ, ฟูจิตสึ-ซีเมนท์, ฮิตาชิ, HP, ไอบีเอ็ม, NComputing, NEC, Neoware, ซัน ไมโครซิสเต็ม และ Wyse Technology
Application Virtualization
AppStream แอพพลิเคชันจาก AppStream เป็นแพล็ตฟอร์ม streaming ที่นำเสนอแอพพลิเคชันของวินโดวส์ไปยังระบบลูกข่ายตามความต้องการ บริษัทนั้นเป็นพันธมิตรกับ Altiris และ Thinstall
Altiris ด้วย Software Virtualization Solution แอพพลิเคชันและข้อมูลถูกห่อไว้ใน Virtual Software Packages และส่งไปยังเดสท็อป ยูสเซอร์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานหรือผู้ดูแลระบบก็จะสามารถรับเอาไว้ใช้งาน ยกเลิกการใช้งานหรือปรับตั้งค่าแอพพลิเคชันได้โดยไม่แตะต้องวินโดวส์ของ เครื่องลูกข่ายเลยแม้แต่น้อย
ไมโครซอฟต์ (Softricity) SoftGrid ส่งแอพพลิเคชันผ่านข้อมูลแบบสตรีมมิ่งไปยังเครื่องลูกข่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต้องไปนั่งติดตั้งดาวน์โหลดหรือส่งให้ทำงานแต่อย่างใด แพ็กเก็จของแอพพลิเคชันนั้นก็สามารถถ่ายทอดระหว่างเครื่องได้ขึ้นอยู่กับ ระดับของยูสเซอร์
Thinstall ชุดซอฟแวร์ของบริษัทนี้นั้นทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการเสมือน ซึ่งมีการรวมเอาแต่ละแอพพลิเคชันเข้าสู่เดสก์ทอปโดยตรง โดยที่ .exe ที่ได้ไปนั้นจะบรรจุแคปเจอร์คอลของรีจิสทรีและระบบไฟล์เอาไว้ทั้งหมด
Desktop Virtualization
Citrix เตรียมการให้ thin-client เชื่อมต่อเข้าสู่เดสก์ทอปของเอนด์ยูสเซอร์ผ่าน Desktop Broker ตัวเสริมโปรแกมของ Presentation Server ทางบริษัทกำลังเตรียมการในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ตัวเชื่อมต่อยังโฮสต์เดสก์ทอปแบบอื่นๆ แอพพลิเคชันเสมือนและโซลูชันการส่งข้อมูลแบบสตรีม
Leostream Virtual Desktop Connection Broker ของเจ้านี้นั้นนำเอาการจัดการการเชื่อมต่อ desktop fail-over และความสามารถในการบริการตัวเองให้กับทาง VDI environments ของ VMware
propero มีการออกเวอร์ชันปรับปรุงของซอฟต์แวร์ workSpace ที่ดูแลการจัดการการเชื่อมต่อและเชื่อมต่อเข้าสู่ส่วนรักษาความปลอดภัยของ VMware VDI
Provision networks เสนอ Virtual Access Suite ที่รวมเอาการจัดการการเชื่อมต่อ การจัดการข้อผิดพลาดและเกตเวย์ในการเชื่อมต่อ VMware VDI
Virtual Machines
ไมโครซอฟท์ ดาวน์โหลด Virtual PC ได้ฟรีให้คุณรันหลายๆ ระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นดอส และวินโดวส์ทุกเวอร์ชันย้อนไปถึงวินโดวส์ 95 รวมไปถึง Mac ด้วย
Parallels เวิร์กสเตชันวินโดวส์และลีนุกซ์ รวมไปถึงเดสท็อปของแมคของบริษัทนี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยี hypervisor ที่ดึงเอาประสิทธิภาพการทำงานของอินพุทเอาท์พุทออกมาให้มากขึ้น
VMware ซอฟแวร์ที่มีผู้สนับสนุนเป็นพันธมิตรมากมายผ่านกลุ่มพันธมิตร VMware-VDI ให้สภาพการทำงานผ่านการส่งข้อมูล streaming จากศูนย์ข้อมูลไปยังลูกข่าย เป็นการทำงานของซอฟต์แวร์ผ่านรีโมทดิสเพลย์ เวิร์กสเตชันของ VMware ถูกออกแบบมาให้สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการรัน OS หลายๆ ตัวบนพีซีเครื่องเดียวกัน
Windows Keyboard Shortcuts for Windows 7
ได้จากเว็บนี้ TutZone
Ease of Access keyboard shortcuts
* Right Shift for eight seconds: Turn Filter Keys on and off
* Left Alt + Left Shift + PrtScn (or PrtScn): Turn High Contrast on or off
* Left Alt + Left Shift + Num Lock: Turn Mouse Keys on or off
* Shift five times: Turn Sticky Keys on or off
* Num Lock for five seconds: Turn Toggle Keys on or off
* Windows logo key + U: Open the Ease of Access Center
* Left Alt + Left Shift + PrtScn (or PrtScn): Turn High Contrast on or off
* Left Alt + Left Shift + Num Lock: Turn Mouse Keys on or off
* Shift five times: Turn Sticky Keys on or off
* Num Lock for five seconds: Turn Toggle Keys on or off
* Windows logo key + U: Open the Ease of Access Center
General keyboard shortcuts
* F1: Display Help
* Ctrl + C (or Ctrl + Insert): Copy the selected item
* Ctrl + X: Cut the selected item
* Ctrl + V (or Shift + Insert): Paste the selected item
* Ctrl + Z: Undo an action
* Ctrl + Y: Redo an action
* Delete (or Ctrl + D): Delete the selected item and move it to the Recycle Bin
* Shift + Delete: Delete the selected item without moving it to the Recycle Bin first
* F2: Rename the selected item
* Ctrl + Right Arrow: Move the cursor to the beginning of the next word
* Ctrl + Left Arrow: Move the cursor to the beginning of the previous word
* Ctrl + Down Arrow: Move the cursor to the beginning of the next paragraph
* Ctrl + Up Arrow: Move the cursor to the beginning of the previous paragraph
* Ctrl + Shift with an arrow key: Select a block of text
* Shift + any arrow key: Select more than one item in a window or on the desktop, or select text within a document
* Ctrl + any arrow key + Spacebar: Select multiple individual items in a window or on the desktop
* Ctrl + A: Select all items in a document or window
* F3: Search for a file or folder
* Alt + Enter: Display properties for the selected item
* Alt + F4: Close the active item, or exit the active program
* Alt + Spacebar: Open the shortcut menu for the active window
* Ctrl + F4: Close the active document (in programs that allow you to have multiple documents open simultaneously)
* Alt + Tab: Switch between open items
* Ctrl + Alt + Tab: Use the arrow keys to switch between open items
* Ctrl + Mouse scroll wheel: Change the size of icons on the desktop
* Windows logo key + Tab: Cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D
* Ctrl+ Windows logo key + Tab: Use the arrow keys to cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D
* Alt + Esc: Cycle through items in the order in which they were opened
* F6: Cycle through screen elements in a window or on the desktop
* F4: Display the address bar list in Windows Explorer
* Shift + F10: Display the shortcut menu for the selected item
* Ctrl + Esc: Open the Start menu
* Alt + underlined letter: Display the corresponding menu
* Alt + underlined letter: Perform the menu command (or other underlined command)
* F10: Activate the menu bar in the active program
* Right Arrow: Open the next menu to the right, or open a submenu
* Left Arrow: Open the next menu to the left, or close a submenu
* F5 (or Ctrl + R): Refresh the active window
* Alt + Up Arrow: View the folder one level up in Windows Explorer
* Esc: Cancel the current task
* Ctrl + Shift + Esc: Open Task Manager
* Shift when you insert a CD: Prevent the CD from automatically playing
* Left Alt + Shift: Switch the input language when multiple input languages are enabled
* Ctrl + ShiftL: Switch the keyboard layout when multiple keyboard layouts are enabled
* Right or Left Ctrl + Shift: Change the reading direction of text in right-to-left reading languages
* Ctrl + C (or Ctrl + Insert): Copy the selected item
* Ctrl + X: Cut the selected item
* Ctrl + V (or Shift + Insert): Paste the selected item
* Ctrl + Z: Undo an action
* Ctrl + Y: Redo an action
* Delete (or Ctrl + D): Delete the selected item and move it to the Recycle Bin
* Shift + Delete: Delete the selected item without moving it to the Recycle Bin first
* F2: Rename the selected item
* Ctrl + Right Arrow: Move the cursor to the beginning of the next word
* Ctrl + Left Arrow: Move the cursor to the beginning of the previous word
* Ctrl + Down Arrow: Move the cursor to the beginning of the next paragraph
* Ctrl + Up Arrow: Move the cursor to the beginning of the previous paragraph
* Ctrl + Shift with an arrow key: Select a block of text
* Shift + any arrow key: Select more than one item in a window or on the desktop, or select text within a document
* Ctrl + any arrow key + Spacebar: Select multiple individual items in a window or on the desktop
* Ctrl + A: Select all items in a document or window
* F3: Search for a file or folder
* Alt + Enter: Display properties for the selected item
* Alt + F4: Close the active item, or exit the active program
* Alt + Spacebar: Open the shortcut menu for the active window
* Ctrl + F4: Close the active document (in programs that allow you to have multiple documents open simultaneously)
* Alt + Tab: Switch between open items
* Ctrl + Alt + Tab: Use the arrow keys to switch between open items
* Ctrl + Mouse scroll wheel: Change the size of icons on the desktop
* Windows logo key + Tab: Cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D
* Ctrl+ Windows logo key + Tab: Use the arrow keys to cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D
* Alt + Esc: Cycle through items in the order in which they were opened
* F6: Cycle through screen elements in a window or on the desktop
* F4: Display the address bar list in Windows Explorer
* Shift + F10: Display the shortcut menu for the selected item
* Ctrl + Esc: Open the Start menu
* Alt + underlined letter: Display the corresponding menu
* Alt + underlined letter: Perform the menu command (or other underlined command)
* F10: Activate the menu bar in the active program
* Right Arrow: Open the next menu to the right, or open a submenu
* Left Arrow: Open the next menu to the left, or close a submenu
* F5 (or Ctrl + R): Refresh the active window
* Alt + Up Arrow: View the folder one level up in Windows Explorer
* Esc: Cancel the current task
* Ctrl + Shift + Esc: Open Task Manager
* Shift when you insert a CD: Prevent the CD from automatically playing
* Left Alt + Shift: Switch the input language when multiple input languages are enabled
* Ctrl + ShiftL: Switch the keyboard layout when multiple keyboard layouts are enabled
* Right or Left Ctrl + Shift: Change the reading direction of text in right-to-left reading languages
Dialog box keyboard shortcuts
* Ctrl + Tab: Move forward through tabs
* Ctrl + Shift + Tab: Move back through tabs
* Tab: Move forward through options
* Shift + Tab: Move back through options
* Alt + underlined letter: Perform the command (or select the option) that goes with that letter
* Enter: Replaces clicking the mouse for many selected commands
* Spacebar: Select or clear the check box if the active option is a check box
* Arrow keys: Select a button if the active option is a group of option buttons
* F1: Display Help
* F4: Display the items in the active list
* Backspace: Open a folder one level up if a folder is selected in the Save As or Open dialog box
* Ctrl + Shift + Tab: Move back through tabs
* Tab: Move forward through options
* Shift + Tab: Move back through options
* Alt + underlined letter: Perform the command (or select the option) that goes with that letter
* Enter: Replaces clicking the mouse for many selected commands
* Spacebar: Select or clear the check box if the active option is a check box
* Arrow keys: Select a button if the active option is a group of option buttons
* F1: Display Help
* F4: Display the items in the active list
* Backspace: Open a folder one level up if a folder is selected in the Save As or Open dialog box
Windows logo key keyboard shortcuts
* Windows logo key: Open or close the Start menu.
* Windows logo key + Pause: Display the System Properties dialog box.
* Windows logo key + D: Display the desktop.
* Windows logo key + M: Minimize all windows.
* Windows logo key + Shift + M: Restore minimized windows to the desktop.
* Windows logo key + E: Open Computer.
* Windows logo key + F: Search for a file or folder.
* Ctrl + Windows logo key + F: Search for computers (if you’re on a network).
* Windows logo key + L: Lock your computer or switch users.
* Windows logo key + R: Open the Run dialog box.
* Windows logo key + T: Cycle through programs on the taskbar.
* Windows logo key + number: Start the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number. If the program is already running, switch to that program.
* Shift + Windows logo key + number: Start a new instance of the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number.
* Ctrl + Windows logo key + number: Switch to the last active window of the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number.
* Alt + Windows logo key + number: Open the Jump List for the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number.
* Windows logo key + Tab: Cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D.
* Ctrl+Windows logo key + Tab: Use the arrow keys to cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D.
* Ctrl+Windows logo key + B: Switch to the program that displayed a message in the notification area.
* Windows logo key + Spacebar: Preview the desktop.
* Windows logo key + Up Arrow: Maximize the window.
* Windows logo key + Left Arrow: Maximize the window to the left side of the screen.
* Windows logo key + Right Arrow: Maximize the window to the right side of the screen.
* Windows logo key + Down Arrow: Minimize the window.
* Windows logo key + Home: Minimize all but the active window.
* Windows logo key + Shift + Up Arrow: Stretch the window to the top and bottom of the screen.
* Windows logo key + Shift+ Left Arrow or Right Arrow: Move a window from one monitor to another.
* Windows logo key + P: Choose a presentation display mode.
* Windows logo key + G: Cycle through gadgets.
* Windows logo key + U: Open Ease of Access Center.
* Windows logo key + X: Open Windows Mobility Center.
* Windows logo key + Pause: Display the System Properties dialog box.
* Windows logo key + D: Display the desktop.
* Windows logo key + M: Minimize all windows.
* Windows logo key + Shift + M: Restore minimized windows to the desktop.
* Windows logo key + E: Open Computer.
* Windows logo key + F: Search for a file or folder.
* Ctrl + Windows logo key + F: Search for computers (if you’re on a network).
* Windows logo key + L: Lock your computer or switch users.
* Windows logo key + R: Open the Run dialog box.
* Windows logo key + T: Cycle through programs on the taskbar.
* Windows logo key + number: Start the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number. If the program is already running, switch to that program.
* Shift + Windows logo key + number: Start a new instance of the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number.
* Ctrl + Windows logo key + number: Switch to the last active window of the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number.
* Alt + Windows logo key + number: Open the Jump List for the program pinned to the taskbar in the position indicated by the number.
* Windows logo key + Tab: Cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D.
* Ctrl+Windows logo key + Tab: Use the arrow keys to cycle through programs on the taskbar by using Aero Flip 3-D.
* Ctrl+Windows logo key + B: Switch to the program that displayed a message in the notification area.
* Windows logo key + Spacebar: Preview the desktop.
* Windows logo key + Up Arrow: Maximize the window.
* Windows logo key + Left Arrow: Maximize the window to the left side of the screen.
* Windows logo key + Right Arrow: Maximize the window to the right side of the screen.
* Windows logo key + Down Arrow: Minimize the window.
* Windows logo key + Home: Minimize all but the active window.
* Windows logo key + Shift + Up Arrow: Stretch the window to the top and bottom of the screen.
* Windows logo key + Shift+ Left Arrow or Right Arrow: Move a window from one monitor to another.
* Windows logo key + P: Choose a presentation display mode.
* Windows logo key + G: Cycle through gadgets.
* Windows logo key + U: Open Ease of Access Center.
* Windows logo key + X: Open Windows Mobility Center.
Windows Explorer keyboard shortcuts
* Ctrl + N: Open a new window
* Ctrl + W: Close the current window
* Ctrl + Shift + N: Create a new folder
* End: Display the bottom of the active window
* Home: Display the top of the active window
* F11: Maximize or minimize the active window
* Ctrl + Period (.): Rotate a picture clockwise
* Ctrl + Comma (,): Rotate a picture counter-clockwise
* Num Lock + Asterisk (*) on numeric keypad: Display all subfolders under the selected folder
* Num Lock + Plus Sign (+) on numeric keypad: Display the contents of the selected folder
* Num Lock + Minus Sign (-) on numeric keypad: Collapse the selected folder
* Left Arrow: Collapse the current selection (if it’s expanded), or select the parent folder
* Alt + Enter: Open the Properties dialog box for the selected item
* Alt + P: Display the preview pane
* Alt + Left Arrow: View the previous folder
* Backspace: View the previous folder
* Right Arrow: Display the current selection (if it’s collapsed), or select the first subfolder
* Alt + Right Arrow: View the next folder
* Alt + Up Arrow: View the parent folder
* Ctrl + Shift + E: Display all folders above the selected folder
* Ctrl + Mouse scroll wheel: Change the size and appearance of file and folder icons
* Alt + D: Select the address bar
* Ctrl + E: Select the search box
* Ctrl + F: Select the search box
* Ctrl + W: Close the current window
* Ctrl + Shift + N: Create a new folder
* End: Display the bottom of the active window
* Home: Display the top of the active window
* F11: Maximize or minimize the active window
* Ctrl + Period (.): Rotate a picture clockwise
* Ctrl + Comma (,): Rotate a picture counter-clockwise
* Num Lock + Asterisk (*) on numeric keypad: Display all subfolders under the selected folder
* Num Lock + Plus Sign (+) on numeric keypad: Display the contents of the selected folder
* Num Lock + Minus Sign (-) on numeric keypad: Collapse the selected folder
* Left Arrow: Collapse the current selection (if it’s expanded), or select the parent folder
* Alt + Enter: Open the Properties dialog box for the selected item
* Alt + P: Display the preview pane
* Alt + Left Arrow: View the previous folder
* Backspace: View the previous folder
* Right Arrow: Display the current selection (if it’s collapsed), or select the first subfolder
* Alt + Right Arrow: View the next folder
* Alt + Up Arrow: View the parent folder
* Ctrl + Shift + E: Display all folders above the selected folder
* Ctrl + Mouse scroll wheel: Change the size and appearance of file and folder icons
* Alt + D: Select the address bar
* Ctrl + E: Select the search box
* Ctrl + F: Select the search box
Taskbar keyboard shortcuts
* Shift + Click on a taskbar button: Open a program or quickly open another instance of a program
* Ctrl + Shift + Click on a taskbar button: Open a program as an administrator
* Shift + Right-click on a taskbar button: Show the window menu for the program
* Shift + Right-click on a grouped taskbar button: Show the window menu for the group
* Ctrl + Click on a grouped taskbar button: Cycle through the windows of the group
* Ctrl + Shift + Click on a taskbar button: Open a program as an administrator
* Shift + Right-click on a taskbar button: Show the window menu for the program
* Shift + Right-click on a grouped taskbar button: Show the window menu for the group
* Ctrl + Click on a grouped taskbar button: Cycle through the windows of the group
Magnifier keyboard shortcuts
* Windows logo key + Plus Sign or Minus Sign: Zoom in or out
* Ctrl + Alt + Spacebar: Preview the desktop in full-screen mode
* Ctrl + Alt + F: Switch to full-screen mode
* Ctrl + Alt + L: Switch to lens mode
* Ctrl + Alt + D: Switch to docked mode
* Ctrl + Alt + I: Invert colors
* Ctrl + Alt + arrow keys: Pan in the direction of the arrow keys
* Ctrl + Alt + R: Resize the lens
* Windows logo key + Esc: Exit Magnifier
* Ctrl + Alt + Spacebar: Preview the desktop in full-screen mode
* Ctrl + Alt + F: Switch to full-screen mode
* Ctrl + Alt + L: Switch to lens mode
* Ctrl + Alt + D: Switch to docked mode
* Ctrl + Alt + I: Invert colors
* Ctrl + Alt + arrow keys: Pan in the direction of the arrow keys
* Ctrl + Alt + R: Resize the lens
* Windows logo key + Esc: Exit Magnifier
Remote Desktop Connection keyboard shortcuts
* Alt + Page Up: Move between programs from left to right.
* Alt + Page Down: Move between programs from right to left.
* Alt + Insert: Cycle through programs in the order that they were started in.
* Alt + Home: Display the Start menu.
* Ctrl + Alt + Break: Switch between a window and full screen.
* Ctrl + Alt + End: Display the Windows Security dialog box.
* Alt + Delete: Display the system menu.
* Ctrl + Alt + Minus Sign (-) on the numeric keypad: Place a copy of the active window, within the client, on the Terminal server clipboard (provides the same functionality as pressing Alt + PrtScn on a local computer).
* Ctrl + Alt + Plus Sign (+) on the numeric keypad: Place a copy of the entire client window area on the Terminal server clipboard (provides the same functionality as pressing PrtScn on a local computer).
* Ctrl + Alt + Right Arrow: “Tab” out of the Remote Desktop controls to a control in the host program (for example, a button or a text box). Useful when the Remote Desktop controls are embedded in another (host) program.
* Ctrl + Alt + Left Arrow: “Tab” out of the Remote Desktop controls to a control in the host program (for example, a button or a text box). Useful when the Remote Desktop controls are embedded in another (host) program.
* Alt + Page Down: Move between programs from right to left.
* Alt + Insert: Cycle through programs in the order that they were started in.
* Alt + Home: Display the Start menu.
* Ctrl + Alt + Break: Switch between a window and full screen.
* Ctrl + Alt + End: Display the Windows Security dialog box.
* Alt + Delete: Display the system menu.
* Ctrl + Alt + Minus Sign (-) on the numeric keypad: Place a copy of the active window, within the client, on the Terminal server clipboard (provides the same functionality as pressing Alt + PrtScn on a local computer).
* Ctrl + Alt + Plus Sign (+) on the numeric keypad: Place a copy of the entire client window area on the Terminal server clipboard (provides the same functionality as pressing PrtScn on a local computer).
* Ctrl + Alt + Right Arrow: “Tab” out of the Remote Desktop controls to a control in the host program (for example, a button or a text box). Useful when the Remote Desktop controls are embedded in another (host) program.
* Ctrl + Alt + Left Arrow: “Tab” out of the Remote Desktop controls to a control in the host program (for example, a button or a text box). Useful when the Remote Desktop controls are embedded in another (host) program.
Paint keyboard shortcuts
* Ctrl + N: Create a new picture
* Ctrl + O: Open an existing picture
* Ctrl + S: Save changes to a picture
* F12: Save the picture as a new file
* Ctrl + P: Print a picture
* Alt + F4: Close a picture and its Paint window
* Ctrl + Z: Undo a change
* Ctrl + Y: Redo a change
* Ctrl + A: Select the entire picture
* Ctrl + X: Cut a selection
* Ctrl + C: Copy a selection to the Clipboard
* Ctrl + V: Paste a selection from the Clipboard
* Right Arrow: Move the selection or active shape right by one pixel
* Left Arrow: Move the selection or active shape left by one pixel
* Down Arrow: Move the selection or active shape down by one pixel
* Up Arrow: Move the selection or active shape up by one pixel
* Esc: Cancel a selection
* Delete: Delete a selection
* Ctrl + B: Bold selected text
* Ctrl + +: Increase the width of a brush, line, or shape outline by one pixel
* Ctrl + -: Decrease the width of a brush, line, or shape outline by one pixel
* Ctrl + I: Italicize selected text
* Ctrl + U: Underline selected text
* Ctrl + E: Open the Properties dialog box
* Ctrl + W: Open the Resize and Skew dialog box
* Ctrl + Page Up: Zoom in
* Ctrl + Page Down: Zoom out
* F11: View a picture in full-screen mode
* Ctrl + R: Show or hide the ruler
* Ctrl + G: Show or hide gridlines
* F10 or Alt: Display keytips
* Shift + F10: Show the current shortcut menu
* F1: Open Paint Help
* Ctrl + O: Open an existing picture
* Ctrl + S: Save changes to a picture
* F12: Save the picture as a new file
* Ctrl + P: Print a picture
* Alt + F4: Close a picture and its Paint window
* Ctrl + Z: Undo a change
* Ctrl + Y: Redo a change
* Ctrl + A: Select the entire picture
* Ctrl + X: Cut a selection
* Ctrl + C: Copy a selection to the Clipboard
* Ctrl + V: Paste a selection from the Clipboard
* Right Arrow: Move the selection or active shape right by one pixel
* Left Arrow: Move the selection or active shape left by one pixel
* Down Arrow: Move the selection or active shape down by one pixel
* Up Arrow: Move the selection or active shape up by one pixel
* Esc: Cancel a selection
* Delete: Delete a selection
* Ctrl + B: Bold selected text
* Ctrl + +: Increase the width of a brush, line, or shape outline by one pixel
* Ctrl + -: Decrease the width of a brush, line, or shape outline by one pixel
* Ctrl + I: Italicize selected text
* Ctrl + U: Underline selected text
* Ctrl + E: Open the Properties dialog box
* Ctrl + W: Open the Resize and Skew dialog box
* Ctrl + Page Up: Zoom in
* Ctrl + Page Down: Zoom out
* F11: View a picture in full-screen mode
* Ctrl + R: Show or hide the ruler
* Ctrl + G: Show or hide gridlines
* F10 or Alt: Display keytips
* Shift + F10: Show the current shortcut menu
* F1: Open Paint Help
WordPad keyboard shortcuts
* Ctrl + N: Create a new document
* Ctrl + O: Open an existing document
* Ctrl + S: Save changes to a document
* F12: Save the document as a new file
* Ctrl + P: Print a document
* Alt + F4: Close WordPad
* Ctrl + Z: Undo a change
* Ctrl + Y: Redo a change
* Ctrl + A: Select the entire document
* Ctrl + X: Cut a selection
* Ctrl + C: Copy a selection to the Clipboard
* Ctrl + V: Paste a selection from the Clipboard
* Ctrl + B: Make selected text bold
* Ctrl + I: Italicize selected text
* Ctrl + U: Underline selected text
* Ctrl + =: Make selected text subscript
* Ctrl + Shift + =: Make selected text superscript
* Ctrl + L: Align text left
* Ctrl + E: Align text center
* Ctrl + R: Align text right
* Ctrl + J: Justify text
* Ctrl + 1: Set single line spacing
* Ctrl + 2: Set double line spacing
* Ctrl + 5: Set line spacing to 1.5
* Ctrl + Shift + >: Increase the font size
* Ctrl + Shift + <: Decrease the font size
* Ctrl + Shift + A: Change characters to all capitals
* Ctrl + Shift + L: Change the bullet style
* Ctrl + D: Insert a Microsoft Paint drawing
* Ctrl + F: Find text in a document
* F3: Find the next instance of the text in the Find dialog box
* Ctrl + H: Replace text in a document
* Ctrl + Left Arrow: Move the cursor one word to the left
* Ctrl + Right Arrow: Move the cursor one word to the right
* Ctrl + Up Arrow: Move the cursor to the line above
* Ctrl + Down Arrow: Move the cursor to the line below
* Ctrl + Home: Move to the beginning of the document
* Ctrl + End: Move to the end of the document
* Ctrl + Page Up: Move up one page
* Ctrl + Page Down: Move down one page
* Ctrl + Delete: Delete the next word
* F10: Display keytips
* Shift + F10: Show the current shortcut menu
* F1: Open WordPad Help
* Ctrl + O: Open an existing document
* Ctrl + S: Save changes to a document
* F12: Save the document as a new file
* Ctrl + P: Print a document
* Alt + F4: Close WordPad
* Ctrl + Z: Undo a change
* Ctrl + Y: Redo a change
* Ctrl + A: Select the entire document
* Ctrl + X: Cut a selection
* Ctrl + C: Copy a selection to the Clipboard
* Ctrl + V: Paste a selection from the Clipboard
* Ctrl + B: Make selected text bold
* Ctrl + I: Italicize selected text
* Ctrl + U: Underline selected text
* Ctrl + =: Make selected text subscript
* Ctrl + Shift + =: Make selected text superscript
* Ctrl + L: Align text left
* Ctrl + E: Align text center
* Ctrl + R: Align text right
* Ctrl + J: Justify text
* Ctrl + 1: Set single line spacing
* Ctrl + 2: Set double line spacing
* Ctrl + 5: Set line spacing to 1.5
* Ctrl + Shift + >: Increase the font size
* Ctrl + Shift + <: Decrease the font size
* Ctrl + Shift + A: Change characters to all capitals
* Ctrl + Shift + L: Change the bullet style
* Ctrl + D: Insert a Microsoft Paint drawing
* Ctrl + F: Find text in a document
* F3: Find the next instance of the text in the Find dialog box
* Ctrl + H: Replace text in a document
* Ctrl + Left Arrow: Move the cursor one word to the left
* Ctrl + Right Arrow: Move the cursor one word to the right
* Ctrl + Up Arrow: Move the cursor to the line above
* Ctrl + Down Arrow: Move the cursor to the line below
* Ctrl + Home: Move to the beginning of the document
* Ctrl + End: Move to the end of the document
* Ctrl + Page Up: Move up one page
* Ctrl + Page Down: Move down one page
* Ctrl + Delete: Delete the next word
* F10: Display keytips
* Shift + F10: Show the current shortcut menu
* F1: Open WordPad Help
Calculator keyboard shortcuts
* Alt + 1: Switch to Standard mode
* Alt + 2: Switch to Scientific mode
* Alt + 3: Switch to Programmer mode
* Alt + 4: Switch to Statistics mode
* Ctrl + E: Open date calculations
* Ctrl + H: Turn calculation history on or off
* Ctrl + U: Open unit conversion
* Alt + C: Calculate or solve date calculations and worksheets
* F1: Open Calculator Help
* Ctrl + Q: Press the M- button
* Ctrl + P: Press the M+ button
* Ctrl + M: Press the MS button
* Ctrl + R: Press the MR button
* Ctrl + L: Press the MC button
* %: Press the % button
* F9: Press the +/– button
* /: Press the / button
* *: Press the * button
* +: Press the + button
* -: Press the – button
* R: Press the 1/× button
* @: Press the square root button
* 0-9: Press the number buttons (0-9)
* =: Press the = button
* .: Press the . (decimal point) button
* Backspace: Press the backspace button
* Esc: Press the C button
* Del: Press the CE button
* Ctrl + Shift + D: Clear the calculation history
* F2: Edit the calculation history
* Up Arrow key: Navigate up in the calculation history
* Down Arrow key: Navigate down in the calculation history
* Esc: Cancel editing the calculation history
* Enter: Recalculate the calculation history after editing
* F3: Select Degrees in Scientific mode
* F4: Select Radians in Scientific mode
* F5: Select Grads in Scientific mode
* I: Press the Inv button in Scientific mode
* D: Press the Mod button in Scientific mode
* Ctrl + S: Press the sinh button in Scientific mode
* Ctrl + O: Press the cosh button in Scientific mode
* Ctrl + T: Press the tanh button in Scientific mode
* (: Press the ( button in Scientific mode
* ): Press the ) button in Scientific mode
* N: Press the ln button in Scientific mode
* ;: Press the Int button in Scientific mode
* S: Press the sin button in Scientific mode
* O: Press the cos button in Scientific mode
* T: Press the tan button in Scientific mode
* M: Press the dms button in Scientific mode
* P: Press the pi button in Scientific mode
* V: Press the F-E button in Scientific mode
* X: Press the Exp button in Scientific mode
* Q: Press the x^2 button in Scientific mode
* Y: Press the x^y button in Scientific mode
* #: Press the x^3 button in Scientific mode
* L: Press the log button in Scientific mode
* !: Press the n! button in Scientific mode
* Ctrl + Y: Press the y?x button in Scientific mode
* Ctrl + B: Press the 3?x button in Scientific mode
* Ctrl + G: Press the 10x button in Scientific mode
* F5: Select Hex in Programmer mode
* F6: Select Dec in Programmer mode
* F7: Select Oct in Programmer mode
* F8: Select Bin in Programmer mode
* F12: Select Qword in Programmer mode
* F2: Select Dword in Programmer mode
* F3: Select Word in Programmer mode
* F4: Select Byte in Programmer mode
* K: Press the RoR button in Programmer mode
* J: Press the RoL button in Programmer mode
* <: Press the Lsh button in Programmer mode
* >: Press the Rsh button in Programmer mode
* %: Press the Mod button in Programmer mode
* (: Press the ( button in Programmer mode
* ): Press the ) button in Programmer mode
* |: Press the Or button in Programmer mode
* ^: Press the Xor button in Programmer mode
* ~: Press the Not button in Programmer mode
* &: Press the And button in Programmer mode
* A-F: Press the A-F buttons in Programmer mode
* Spacebar: Toggles the bit value in Programmer mode
* A: Press the Average button in Statistics mode
* Ctrl + A: Press the Average Sq button in Statistics mode
* S: Press the Sum button in Statistics mode
* Ctrl + S: Press the Sum Sq button in Statistics mode
* T: Press the S.D. button in Statistics mode
* Ctrl + T: Press the Inv S.D. button in Statistics mode
* D: Press the CAD button in Statistics mode
* Alt + 2: Switch to Scientific mode
* Alt + 3: Switch to Programmer mode
* Alt + 4: Switch to Statistics mode
* Ctrl + E: Open date calculations
* Ctrl + H: Turn calculation history on or off
* Ctrl + U: Open unit conversion
* Alt + C: Calculate or solve date calculations and worksheets
* F1: Open Calculator Help
* Ctrl + Q: Press the M- button
* Ctrl + P: Press the M+ button
* Ctrl + M: Press the MS button
* Ctrl + R: Press the MR button
* Ctrl + L: Press the MC button
* %: Press the % button
* F9: Press the +/– button
* /: Press the / button
* *: Press the * button
* +: Press the + button
* -: Press the – button
* R: Press the 1/× button
* @: Press the square root button
* 0-9: Press the number buttons (0-9)
* =: Press the = button
* .: Press the . (decimal point) button
* Backspace: Press the backspace button
* Esc: Press the C button
* Del: Press the CE button
* Ctrl + Shift + D: Clear the calculation history
* F2: Edit the calculation history
* Up Arrow key: Navigate up in the calculation history
* Down Arrow key: Navigate down in the calculation history
* Esc: Cancel editing the calculation history
* Enter: Recalculate the calculation history after editing
* F3: Select Degrees in Scientific mode
* F4: Select Radians in Scientific mode
* F5: Select Grads in Scientific mode
* I: Press the Inv button in Scientific mode
* D: Press the Mod button in Scientific mode
* Ctrl + S: Press the sinh button in Scientific mode
* Ctrl + O: Press the cosh button in Scientific mode
* Ctrl + T: Press the tanh button in Scientific mode
* (: Press the ( button in Scientific mode
* ): Press the ) button in Scientific mode
* N: Press the ln button in Scientific mode
* ;: Press the Int button in Scientific mode
* S: Press the sin button in Scientific mode
* O: Press the cos button in Scientific mode
* T: Press the tan button in Scientific mode
* M: Press the dms button in Scientific mode
* P: Press the pi button in Scientific mode
* V: Press the F-E button in Scientific mode
* X: Press the Exp button in Scientific mode
* Q: Press the x^2 button in Scientific mode
* Y: Press the x^y button in Scientific mode
* #: Press the x^3 button in Scientific mode
* L: Press the log button in Scientific mode
* !: Press the n! button in Scientific mode
* Ctrl + Y: Press the y?x button in Scientific mode
* Ctrl + B: Press the 3?x button in Scientific mode
* Ctrl + G: Press the 10x button in Scientific mode
* F5: Select Hex in Programmer mode
* F6: Select Dec in Programmer mode
* F7: Select Oct in Programmer mode
* F8: Select Bin in Programmer mode
* F12: Select Qword in Programmer mode
* F2: Select Dword in Programmer mode
* F3: Select Word in Programmer mode
* F4: Select Byte in Programmer mode
* K: Press the RoR button in Programmer mode
* J: Press the RoL button in Programmer mode
* <: Press the Lsh button in Programmer mode
* >: Press the Rsh button in Programmer mode
* %: Press the Mod button in Programmer mode
* (: Press the ( button in Programmer mode
* ): Press the ) button in Programmer mode
* |: Press the Or button in Programmer mode
* ^: Press the Xor button in Programmer mode
* ~: Press the Not button in Programmer mode
* &: Press the And button in Programmer mode
* A-F: Press the A-F buttons in Programmer mode
* Spacebar: Toggles the bit value in Programmer mode
* A: Press the Average button in Statistics mode
* Ctrl + A: Press the Average Sq button in Statistics mode
* S: Press the Sum button in Statistics mode
* Ctrl + S: Press the Sum Sq button in Statistics mode
* T: Press the S.D. button in Statistics mode
* Ctrl + T: Press the Inv S.D. button in Statistics mode
* D: Press the CAD button in Statistics mode
Windows Journal keyboard shortcuts
* Ctrl + N: Start a new note
* Ctrl + O: Open a recently used note
* Ctrl + S: Save changes to a note
* Ctrl + Shift + V: Move a note to a specific folder
* Ctrl + P: Print a note
* Alt + F4: Close a note and its Journal window
* Ctrl + Z: Undo a change
* Ctrl + Y: Redo a change
* Ctrl + A: Select all items on a page
* Ctrl + X: Cut a selection
* Ctrl + C: Copy a selection to the Clipboard
* Ctrl + V: Paste a selection from the Clipboard
* Esc: Cancel a selection
* Delete: Delete a selection
* Ctrl + F: Start a basic find
* Ctrl + G: Go to a page
* F5: Refresh find results
* F5: Refresh the note list
* F6: Toggle between a note list and a note
* Ctrl + Shift + C: Display a shortcut menu for column headings in a note list
* F11: View a note in full-screen mode
* F1: Open Journal Help
* Ctrl + O: Open a recently used note
* Ctrl + S: Save changes to a note
* Ctrl + Shift + V: Move a note to a specific folder
* Ctrl + P: Print a note
* Alt + F4: Close a note and its Journal window
* Ctrl + Z: Undo a change
* Ctrl + Y: Redo a change
* Ctrl + A: Select all items on a page
* Ctrl + X: Cut a selection
* Ctrl + C: Copy a selection to the Clipboard
* Ctrl + V: Paste a selection from the Clipboard
* Esc: Cancel a selection
* Delete: Delete a selection
* Ctrl + F: Start a basic find
* Ctrl + G: Go to a page
* F5: Refresh find results
* F5: Refresh the note list
* F6: Toggle between a note list and a note
* Ctrl + Shift + C: Display a shortcut menu for column headings in a note list
* F11: View a note in full-screen mode
* F1: Open Journal Help
Windows Help viewer keyboard shortcuts
* Alt + C: Display the Table of Contents
* Alt + N: Display the Connection Settings menu
* F10: Display the Options menu
* Alt + Left Arrow: Move back to the previously viewed topic
* Alt + Right Arrow: Move forward to the next (previously viewed) topic
* Alt + A: Display the customer support page
* Alt + Home: Display the Help and Support home page
* Home: Move to the beginning of a topic
* End: Move to the end of a topic
* Ctrl + F: Search the current topic
* Ctrl + P: Print a topic
* F3: Move the cursor to the searchbox
* Alt + N: Display the Connection Settings menu
* F10: Display the Options menu
* Alt + Left Arrow: Move back to the previously viewed topic
* Alt + Right Arrow: Move forward to the next (previously viewed) topic
* Alt + A: Display the customer support page
* Alt + Home: Display the Help and Support home page
* Home: Move to the beginning of a topic
* End: Move to the end of a topic
* Ctrl + F: Search the current topic
* Ctrl + P: Print a topic
* F3: Move the cursor to the searchbox
List of the keyboard shortcuts that are available in Windows XP
ได้มาจากเว็บของ Microsoft
General keyboard shortcuts
- CTRL+C (Copy)
- CTRL+X (Cut)
- CTRL+V (Paste)
- CTRL+Z (Undo)
- DELETE (Delete)
- SHIFT+DELETE (Delete the selected item permanently without placing the item in the Recycle Bin)
- CTRL while dragging an item (Copy the selected item)
- CTRL+SHIFT while dragging an item (Create a shortcut to the selected item)
- F2 key (Rename the selected item)
- CTRL+RIGHT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next word)
- CTRL+LEFT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous word)
- CTRL+DOWN ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next paragraph)
- CTRL+UP ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous paragraph)
- CTRL+SHIFT with any of the arrow keys (Highlight a block of text)
- SHIFT with any of the arrow keys (Select more than one item in a window or on the desktop, or select text in a document)
- CTRL+A (Select all)
- F3 key (Search for a file or a folder)
- ALT+ENTER (View the properties for the selected item)
- ALT+F4 (Close the active item, or quit the active program)
- ALT+ENTER (Display the properties of the selected object)
- ALT+SPACEBAR (Open the shortcut menu for the active window)
- CTRL+F4 (Close the active document in programs that enable you to have multiple documents open simultaneously)
- ALT+TAB (Switch between the open items)
- ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)
- F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)
- F4 key (Display the Address bar list in My Computer or Windows Explorer)
- SHIFT+F10 (Display the shortcut menu for the selected item)
- ALT+SPACEBAR (Display the System menu for the active window)
- CTRL+ESC (Display the Start menu)
- ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)
- Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the corresponding command)
- F10 key (Activate the menu bar in the active program)
- RIGHT ARROW (Open the next menu to the right, or open a submenu)
- LEFT ARROW (Open the next menu to the left, or close a submenu)
- F5 key (Update the active window)
- BACKSPACE (View the folder one level up in My Computer or Windows Explorer)
- ESC (Cancel the current task)
- SHIFT when you insert a CD-ROM into the CD-ROM drive (Prevent the CD-ROM from automatically playing)
- CTRL+SHIFT+ESC (Open Task Manager)
Dialog box keyboard shortcuts
If you press SHIFT+F8 in extended selection list boxes, you enable extended selection mode. In this mode, you can use an arrow key to move a cursor without changing the selection. You can press CTRL+SPACEBAR or SHIFT+SPACEBAR to adjust the selection. To cancel extended selection mode, press SHIFT+F8 again. Extended selection mode cancels itself when you move the focus to another control.- CTRL+TAB (Move forward through the tabs)
- CTRL+SHIFT+TAB (Move backward through the tabs)
- TAB (Move forward through the options)
- SHIFT+TAB (Move backward through the options)
- ALT+Underlined letter (Perform the corresponding command or select the corresponding option)
- ENTER (Perform the command for the active option or button)
- SPACEBAR (Select or clear the check box if the active option is a check box)
- Arrow keys (Select a button if the active option is a group of option buttons)
- F1 key (Display Help)
- F4 key (Display the items in the active list)
- BACKSPACE (Open a folder one level up if a folder is selected in the Save As or Open dialog box)
Microsoft natural keyboard shortcuts
- Windows Logo (Display or hide the Start menu)
- Windows Logo+BREAK (Display the System Properties dialog box)
- Windows Logo+D (Display the desktop)
- Windows Logo+M (Minimize all of the windows)
- Windows Logo+SHIFT+M (Restore the minimized windows)
- Windows Logo+E (Open My Computer)
- Windows Logo+F (Search for a file or a folder)
- CTRL+Windows Logo+F (Search for computers)
- Windows Logo+F1 (Display Windows Help)
- Windows Logo+ L (Lock the keyboard)
- Windows Logo+R (Open the Run dialog box)
- Windows Logo+U (Open Utility Manager)
Accessibility keyboard shortcuts
- Right SHIFT for eight seconds (Switch FilterKeys either on or off)
- Left ALT+left SHIFT+PRINT SCREEN (Switch High Contrast either on or off)
- Left ALT+left SHIFT+NUM LOCK (Switch the MouseKeys either on or off)
- SHIFT five times (Switch the StickyKeys either on or off)
- NUM LOCK for five seconds (Switch the ToggleKeys either on or off)
- Windows Logo +U (Open Utility Manager)
Windows Explorer keyboard shortcuts
- END (Display the bottom of the active window)
- HOME (Display the top of the active window)
- NUM LOCK+Asterisk sign (*) (Display all of the subfolders that are under the selected folder)
- NUM LOCK+Plus sign (+) (Display the contents of the selected folder)
- NUM LOCK+Minus sign (-) (Collapse the selected folder)
- LEFT ARROW (Collapse the current selection if it is expanded, or select the parent folder)
- RIGHT ARROW (Display the current selection if it is collapsed, or select the first subfolder)
Shortcut keys for Character Map
After you double-click a character on the grid of characters, you can move through the grid by using the keyboard shortcuts:- RIGHT ARROW (Move to the right or to the beginning of the next line)
- LEFT ARROW (Move to the left or to the end of the previous line)
- UP ARROW (Move up one row)
- DOWN ARROW (Move down one row)
- PAGE UP (Move up one screen at a time)
- PAGE DOWN (Move down one screen at a time)
- HOME (Move to the beginning of the line)
- END (Move to the end of the line)
- CTRL+HOME (Move to the first character)
- CTRL+END (Move to the last character)
- SPACEBAR (Switch between Enlarged and Normal mode when a character is selected)
Microsoft Management Console (MMC) main window keyboard shortcuts
- CTRL+O (Open a saved console)
- CTRL+N (Open a new console)
- CTRL+S (Save the open console)
- CTRL+M (Add or remove a console item)
- CTRL+W (Open a new window)
- F5 key (Update the content of all console windows)
- ALT+SPACEBAR (Display the MMC window menu)
- ALT+F4 (Close the console)
- ALT+A (Display the Action menu)
- ALT+V (Display the View menu)
- ALT+F (Display the File menu)
- ALT+O (Display the Favorites menu)
MMC console window keyboard shortcuts
- CTRL+P (Print the current page or active pane)
- ALT+Minus sign (-) (Display the window menu for the active console window)
- SHIFT+F10 (Display the Action shortcut menu for the selected item)
- F1 key (Open the Help topic, if any, for the selected item)
- F5 key (Update the content of all console windows)
- CTRL+F10 (Maximize the active console window)
- CTRL+F5 (Restore the active console window)
- ALT+ENTER (Display the Properties dialog box, if any, for the selected item)
- F2 key (Rename the selected item)
- CTRL+F4 (Close the active console window. When a console has only one console window, this shortcut closes the console)
Remote desktop connection navigation
- CTRL+ALT+END (Open the Microsoft Windows NT Security dialog box)
- ALT+PAGE UP (Switch between programs from left to right)
- ALT+PAGE DOWN (Switch between programs from right to left)
- ALT+INSERT (Cycle through the programs in most recently used order)
- ALT+HOME (Display the Start menu)
- CTRL+ALT+BREAK (Switch the client computer between a window and a full screen)
- ALT+DELETE (Display the Windows menu)
- CTRL+ALT+Minus sign (-) (Place a snapshot of the entire client window area on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing ALT+PRINT SCREEN on a local computer.)
- CTRL+ALT+Plus sign (+) (Place a snapshot of the active window in the client on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing PRINT SCREEN on a local computer.)
Microsoft Internet Explorer navigation
- CTRL+B (Open the Organize Favorites dialog box)
- CTRL+E (Open the Search bar)
- CTRL+F (Start the Find utility)
- CTRL+H (Open the History bar)
- CTRL+I (Open the Favorites bar)
- CTRL+L (Open the Open dialog box)
- CTRL+N (Start another instance of the browser with the same Web address)
- CTRL+O (Open the Open dialog box, the same as CTRL+L)
- CTRL+P (Open the Print dialog box)
- CTRL+R (Update the current Web page)
- CTRL+W (Close the current window)
Other information
- Some keyboard shortcuts may not work if StickyKeys is turned on in Accessibility Options.
- Some of the Terminal Services client shortcuts that are similar to the shortcuts in Remote Desktop Sharing are not available when you use Remote Assistance in Windows XP Home Edition.
- Some of the other Microsoft Knowledge Base articles that have similar information as this article are: 126449 (http://support.microsoft.com/kb/126449/ ) Keyboard shortcuts for Windows255090 (http://support.microsoft.com/kb/255090/ ) Keystroke navigation in Windows 2000 Help
- Refer to Help for the most current information regarding keyboard navigation and visit the following Microsoft Accessibility Web site for additional information that relates to keyboard shortcuts and keyboard navigation in Windows and other Microsoft products:http://www.microsoft.com/enable (http://www.microsoft.com/enable)
ส่ง keyboard shortcut ผ่าน Remote Desktop
เวลาใช้ Remote Desktop สามารถใช้ keyboard shortcut เหล่านี้ได้
Ctrl + Alt + Del = Ctrl + Alt + End : Brings up the Windows Security dialog box.
** Display the Task Manager (Ctrl + Shift + Esc is the local command)
Windows Logo Key = Alt + Home : Displays the Start menu.
Alt + Tab = Alt + Page Up : Switches between programs from left to right.
Alt + Shift + Tab = Alt + Page Down : Switches between programs from right to left.
Alt + Esc = Alt + Insert : Cycles through the programs in the order they were started.
Ctrl + Alt + Break : Switches the Remote Desktop between a window and full screen.
Alt + Del : Displays the Windows menu.
Ctrl + Alt + Num - : Places a snapshot of the client’s active window on the clipboard.
Ctrl + Alt + Num + : Places a snapshot of the client’s entire desktop area on the clipboard.
Ctrl+Alt+Shift+Home : To invoke task manager for nested terminal services sessions (two levels deep).
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)